ระเบียบปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยสถานที่

Loading

การกำหนดระเบียบปฏิบัติเพื่อรักษาความปลอดภัยสถานที่ของแต่ละหน่วยงานของรัฐย่อมมีความแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม ความจำเป็นที่เผชิญอยู่ ดังนั้น เพื่อให้การวางระเบียบปฏิบัติในแต่ละหน่วยงานของรัฐเป็นไปอย่างเหมาะสม ครอบคลุมสภาพการณ์ และเพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถปฏิบัติตามได้จริง หน่วยงานของรัฐควรพิจารณาจาก ภารกิจ หน้าที่ ความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐ สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ จำนวนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย งบประมาณสำหรับการรักษาความปลอดภัยและการสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา ข่าวสาร สิ่งบอกเหตุ และการแจ้งเตือนภัย การติดต่อสื่อสารภายในหน่วยงาน และกับหน่วยงานของรัฐอื่นๆ รายงานผลการสำรวจหรือการตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยที่ได้เคยกระทำมา   ระเบียบปฏิบัติสำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยสถานที่ ยามรักษาการณ์ – ดูแล สอดส่อง และตรวจตราความปลอดภัยภายในพื้นที่ของหน่วยงาน เพื่อให้พ้นจากการโจรกรรม การก่อวินาศกรรม การจารกรรม และอุบัติภัย ฯลฯ ที่อาจเกิดขึ้น และสร้างความเสียหายแก่อาคารสถานที่ ทรัพย์สินต่าง ๆ ของหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะการดูแล ป้องกันการลุกล้ำ บุกรุกเข้าไปในพื้นที่ควบคุม – ประจำการอยู่ที่ทางเข้า-ออกหลัก เพื่อตรวจสอบและอำนวยความสะดวกแก่บุคคล ยานพาหนะ และการนำสิ่งของต่างๆ เข้า-ออกในพื้นที่ควบคุมของหน่วยงาน – ในระหว่างปฏิบัติงานตามหน้าที่ ถ้ามีเหตุเป็นที่น่าสงสัยให้แจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำวันของหน่วยงานทราบ – การรับ-ส่งหน้าที่ของยามรักษาการณ์ ให้ทำเป็นลายลักษณ์อักษรในสมุดรับส่งเวรประจำวัน ยามรักษาการณ์จะเข้าแทนหน้าที่กันโดยพลการมิได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ควบคุมการรักษาความปลอดภัยของหน่วยงานเสียก่อน หากยามรักษาการณ์ไม่สามารถรับหน้าที่ตามวันเวลาที่กำหนดไว้ในคำสั่งได้…

ความจำเป็นในการสำรวจสถานที่เพื่อการรักษาความปลอดภัย

Loading

เป้าหมายที่ต้องกำหนดมาตรการการรักษาความปลอดภัยขึ้นก็เพื่อควบคุมและป้องกันการกระทำของบุคคลที่อาจเป็นภัยหรือเป็นภัย ดังนั้น ในส่วนของเป้าหมายการรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับสถานที่ จึงเป็นการกำหนดขอบเขตของพื้นที่ เพื่อดำเนินการป้องกันบุคคลที่จะก่อให้เกิดภัย อันตราย และการกำหนดระเบียบปฏิบัติสำหรับการรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับสถานที่ก็เป็นแนวทางปฏิบัติให้บุคคลยึดถือและกระทำตาม เพื่อป้องกันภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นทั้งจากคนหรือธรรมชาติ จากสภาพสังคมในปัจจุบัน การรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับสถานที่ได้กลายเป็นมาตรการที่จำเป็นต้องดำเนินการโดยบุคคล ประกอบกับการนำเครื่องมือ อุปกรณ์ และวิทยาการสมัยใหม่มาเสริมการปฏิบัติงาน เพื่อให้สามารถป้องปราม หน่วงเหนี่ยว และป้องกันภัยอันตรายและการคุกคามในรูปแบบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม การรักษาความปลอดภัยสถานที่ที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีการวางแนวทางและกำหนดวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานที่นั้นๆ ฉะนั้น ก่อนที่จะการกำหนดแนวทางการรักษาความปลอดภัยสถานที่ จึงต้องทำการสำรวจและตรวจสอบข้อเท็จจริงของสถานที่ตั้ง บริเวณโดยรอบ และสภาพแวดล้อม เพื่อหารายละเอียดเกี่ยวกับจุดอ่อน-จุดแข็งของที่ตั้งเหล่านั้น ตลอดจนสภาพแวดล้อมและข้อแม้ต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการรักษาความปลอดภัยสถานที่ที่จะดำเนินการ จุดมุ่งหมายในการกำหนดแนวทางการรักษาความปลอดสถานที่ เพื่อควบคุมบุคคลที่อาจเป็นหรือเป็นภัยมิให้ล่วงล้ำเข้ามาในบริเวณพื้นที่ตั้ง รวมทั้งอาคารสิ่งก่อสร้างภายในพื้นที่ตั้ง แบ่งออกเป็น ป้องปรามและป้องกันภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นด้วยความประมาท เลินเล่อ ความบกพร่อง หรือด้วยความตั้งใจทำลายต่อสถานที่และบริเวณโดยรอบของที่ตั้งของหน่วยงานของรัฐ   เช่น อาคารสำนักงาน สถานที่จ่ายหรือที่ตั้งถังจัดเก็บเชื้อเพลิง โรงเก็บวัสดุและเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ โรง เก็บสารเคมี โรงผลิตกระแสไฟฟ้า เขื่อน อ่างเก็บน้ำ เป็นต้น หรือพื้นที่ ซึ่งหน่วยงานของรัฐใช้ประโยชน์ เช่น ที่ตั้งสำนักงานของหน่วยงานของรัฐ โดยเช่าพื้นที่อาคารของเอกชน ซึ่งอาจจะใช้ทั้งอาคารหรือบางส่วนของอาคาร ทั้งนี้ให้พิจารณารวมถึงภัยธรรมชาติที่อาจสร้างความเสียหายอีกด้วย ป้องกันอุบัติภัยและปกป้องจากการคุกคามทุกรูปแบบต่อบุคคลสำคัญ ที่เข้าสู่พื้นที่ตั้งของหน่วยงานของรัฐหรือสถานที่ซึ่งหน่วยงานของรัฐใช้ประโยชน์ เช่น อาคารของหน่วยงานของรัฐหรือ…

ขั้นตอนเพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับการวางมาตรการ การรักษาความปลอดภัยสถานที่

Loading

ก่อนการดำเนินการวางมาตรการการรักษาความปลอดภัยสถานที่ภายในแต่ละหน่วยงานของรัฐจำเป็นต้องสำรวจตรวจสอบ เพื่อให้ได้ทราบถึงข้อมูลข่าวสารด้านต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการรักษาความปลอดภัย รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับจุดอ่อน ข้อขัดข้อง หรือความบกพร่องในด้านต่างๆ โดยจะนำมาศึกษาทบทวน เพื่อหาแนวทางวางมาตรการที่เหมาะสม รัดกุม และมีประสิทธิภาพ การสำรวจตรวจสอบสำหรับการวางมาตรการการรักษาความปลอดภัยสถานที่ของหน่วยงานของรัฐนั้น ควรดำเนินการทุกครั้งที่มีการปรับเปลี่ยนที่ทำการ ก่อสร้างขึ้นใหม่ นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐควรกำหนดห้วงเวลา เช่น ทุก ๖ เดือน หรือ ๑ ปี ให้ส่วนงานรักษาความปลอดภัยทำการสำรวจตรวจสอบ เพื่อทบทวนหรือหาข้อบกพร่องของมาตรการที่กำหนดไว้ เพื่อสรุปเป็นรายงานเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณา เพราะโดยพื้นฐานในแต่ละหน่วยงานของรัฐย่อมมีความแตกต่างจากกันอยู่แล้ว ทั้งในด้านระดับความสำคัญ พื้นที่ตั้ง สภาพแวดล้อม และหน้าที่ความรับผิดชอบ ขั้นที่หนึ่ง : รวบรวมและศึกษาข้อมูลข่าวสาร ตรวจสอบความเป็นจริงของข้อมูลข่าวสารจากรายงานที่ได้เคยจัดทำไว้แต่เดิม และข้อมูลเกี่ยวกับความบกพร่องด้านการรักษาความปลอดภัยสถานที่ที่เคยเกิด ทั้งภายในพื้นที่ทำการและพื้นที่บริเวณใกล้เคียงโดยรอบของหน่วยงานของรัฐ เช่น รายงานเกี่ยวกับการโจรกรรม เหตุเพลิงไหม้ หรือเจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงานไม่ค่อยตระหนักถึงความ สำคัญของการรักษาความปลอดภัย ตลอดจนสภาพสังคมและอุปนิสัยโดยรวมของประชาชนที่อยู่อาศัยในบริเวณนี้ เช่น มีย่านชุมชนแออัดอยู่ใกล้เคียง หรือแหล่งลักลอบค้ายาเสพติด บ่อนการพนัน สถานเริงรมย์ เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้นับว่ามีความสำคัญสำหรับนำมาใช้ประกอบการวางมาตรการการรักษาความปลอดภัยสถานที่ เพราะจะทำให้สามารถวางแผนการรักษาความปลอดภัยสถานที่ ให้รองรับภัยอันตรายได้อย่างถูกต้องเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ขั้นที่สอง : สำรวจพื้นที่และอาคารสถานที่ที่จะวางมาตรการการรักษาความปลอดภัยโดยละเอียด…

กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่รักษาความปลอดภัย

Loading

เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับกลุ่มบุคคล และหน้าที่ที่แต่ละกลุ่มจะต้องกระทำในการรักษาความปลอดภัยสถานที่ขณะเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของหน่วยงาน จึงแบ่งประเภทของบุคลออกเป็นกลุ่มดังนี้ ๑. ผู้ที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยสถานที่ ๑.๑ เจ้าหน้าที่ควบคุมการรักษาความปลอดภัย เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายและมีอำนาจดำเนินการแทนหัวหน้าหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยสถานที่ภายในหน่วยงาน ๑.๒ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คือ เจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ควบคุม ดูแลการรักษาความปลอดภัยตามระเบียบปฏิบัติที่แต่ละหน่วยงานของรัฐกำหนดขึ้น และอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่ควบคุมการรักษาความปลอดภัย ประกอบด้วย ๑) เจ้าหน้าที่ส่วนงานรักษาความปลอดภัยประจำหน่วยงานของรัฐนั้น ๒) เจ้าหน้าที่จากส่วนงานอื่นที่ได้รับมอบหมายภารกิจรักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีกหน้าที่หนึ่ง ซึ่งการมอบหมายนี้ต้องออกเป็นคำสั่งภายใน โดยหัวหน้าหน่วยงานมอบให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการรักษาความปลอดภัยเป็นผู้ดำเนินการแทน ๑.๓ ยามรักษาการณ์ ได้แก่ ๑) ลูกจ้างประจำภายในหน่วยงานของรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งประจำที่กำหนดให้ทำหน้าที่ยามรักษาการโดยเฉพาะ ๒) พนักงานจากบริษัทรักษาความปลอดภัยเอกชน ซึ่งหน่วยงานของรัฐจัดจ้าง ๓) สำหรับหน่วยงานความมั่นคงของชาติ ควรขอรับการสนับสนุนกำลังจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายสามารถทำการตรวจค้นหรือเข้าควบคุมตัวบุคคลที่ต้องสงสัย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นมาดำเนินการต่อไป ๒. ผู้ที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบการรักษาความปลอดภัยสถานที่ภายในหน่วยงาน ๒.๑ เจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงานของรัฐนั้น ๒.๒ ผู้มาปฏิบัติงานภายในพื้นที่หน่วยงานของรัฐ แบ่งออกเป็น ๑) ผู้ปฏิบัติงานประจำ เช่น บุคคลที่ได้รับการว่าจ้างจากหน่วยงานของรัฐให้เข้ามาปฏิบัติงาน พนักงานทำความสะอาดจากบริษัทเอกชน ผู้ประกอบการร้านอาหาร ๒) ผู้เข้ามาปฏิบัติงานชั่วคราว เช่น คนงานก่อสร้าง พนักงานซ่อมบำรุงเครื่องมืออุปกรณ์หรือสาธารณูปโภค นักเรียนนักศึกษาที่เข้ามารับการฝึกงาน ๒.๓…

พระราชบัญญัติล้างมลทินกับผลการตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์บุคคล

Loading

ในกรณีที่ผลการตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์บุคคลด้วยพิมพ์ลายนิ้วมือ และพบประวัติอาชญากรรมของบุคคล การที่หน่วยงานของรัฐจะรับบุคคลนั้นบรรจุ แต่งตั้ง หรือว่าจ้างให้เข้ามาปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ เหล่านี้ขึ้นอยู่กับการใช้ดุลพินิจถึงคุณสมบัติหรือความมีศีลธรรมอันดีตามแต่ที่หน่วยงานของรัฐนั้นกำหนดไว้เป็นการภายใน สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลการตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์บุคคล ที่ควรทราบ เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณาของหน่วยงานของรัฐมีดังนี้ พระราชบัญญัติล้างมลทิน จุดประสงค์ของพระราชบัญญัติล้างมลทิน คือ ให้บุคคลที่เคยรับโทษจากคำพิพากษาของศาล และได้พ้นโทษมาแล้ว หรือผู้ที่เคยอยู่ในหน่วยงาน ของกระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ ในกรณีความผิดต่างๆ โดยเป็นการกระทำก่อนหรือในวันที่ที่ได้ประกาศพระราชบัญญัติล้างมลทินแล้ว ให้บุคคลนั้นได้พ้นจากมลทิน เสมือนว่าไม่เคยต้องโทษตามที่ได้กระทำความผิดนั้นๆ มาก่อน แต่พระราชบัญญัติล้างมลทิน ไม่ใช่การลบล้างโทษหรือความผิดที่กระทำไว้ ฉะนั้น การล้างมลทิน จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิต่างๆ ผลลัพธ์ที่เกิดจากพระราชบัญญัติฉบับนี้ 1.1 สำหรับหน่วยงานของรัฐ บุคคลที่ล้างมลทินแล้ว สามารถสอบเข้ารับราชการได้ เพราะตามคุณสมบัติของผู้สอบเข้ารับราชการ ต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกศาลพิพากษาว่าต้องโทษมาก่อน แต่ในทางปฏิบัติ การตีความของแต่ละหน่วยงานของรัฐอาจแตกต่างกัน และประวัติการกระทำผิดก็ยังคงปรากฏอยู่ แต่มีบันทึกต่อท้ายว่า ได้ล้างมลทินแล้ว 1.2 ผู้ที่กระทำผิดและถูกสั่งให้ออกจากราชการ เมื่อได้รับการล้างมลทินแล้ว ไม่น่าจะกลับเข้ารับตำแหน่งหน้าที่เดิมได้ เพราะมีข้อจำกัดหลายประการ ตั้งแต่ตำแหน่งที่รองรับ หรือการยอมรับตามข้อเท็จจริง หากกระทำผิดร้ายแรง ยิ่งเป็นการยากที่จะได้รับการบรรจุเข้ากลับรับราชการอีก 1.3…