ผู้อุทธรณ์ : นาง ก.
หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ
เขต ๒ อุทธรณ์เรื่องนี้ได้ความว่า นาง ก. ผู้อุทธรณ์ ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ โรงเรียนบ้านโคกหล่าม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต ๒ ถูกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต ๒ มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง กรณีมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับนาย ส. ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบอนใหญ่ โดยต่างฝ่ายต่างมีคู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วเป็นเหตุให้ครอบครัวอีกฝ่ายได้รับความเดือดร้อน ต่อมาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต ๒ มีคำสั่งลงโทษปลดผู้อุทธรณ์ออกจากราชการ ผู้อุทธรณ์จึงอุทธรณ์คำสั่งลงโทษต่อ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ซึ่งทำการแทนคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ต่อมา อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ พิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของ ผู้อุทธรณ์เป็นเพียงความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงสมควรให้ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งลดโทษผู้ฟ้องคดีจากปลดออกจากราชการเป็นลดขั้นเงินเดือนหนึ่งขั้นและสั่งให้ผู้อุทธรณ์กลับเข้ารับราชการต่อมาผู้อุทธรณ์จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองนครราชสีมา ซึ่งศาลปกครองนครราชสีมามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ว่าผู้อุทธรณ์มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินสมควรกับนาย ส. ซึ่งเป็นคู่สมรสของผู้อื่น อันเป็นพฤติการณ์ที่ถือว่าเป็นการกระทำที่เสื่อมเสียถึงเกียรติของข้าราชการและความรู้สึกของสังคมที่มีต่อการกระทำของผู้อุทธรณ์ซึ่งเป็นข้าราชการครู ผู้ต้องเป็นแบบอย่างต่อสังคมอันทำให้ราชการได้รับความเสียหายต่อภาพพจน์ชื่อเสียง แต่พฤติการณ์เป็นเพียงความผิดวินัยไม่ร้ายแรงคำสั่งลดโทษผู้อุทธรณ์จึงเหมาะสมและชอบด้วยกฎหมาย ผู้อุทธรณ์จึงมีหนังสือลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ ถึงผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต ๒ ขอบันทึกถ้อยคำพยานฝ่ายกล่าวหาของนาย ข. นาง ค. นาย ง. นาง จ. นาง ฉ. นาย ช. นาง ซ. และนาง ฌ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต ๒ มีหนังสือ ที่ ศธ ๐๓๑๓๙/๔๖ ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ ถึงผู้อุทธรณ์ว่า ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.๒๕๔๐ มาตรา ๑๕ บัญญัติว่า ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยก็ได้ โดยคำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกัน (๔)การเปิดเผยจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของบุคคลหนึ่งบุคคลใด (๕) รายงานการแพทย์หรือข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลซึ่งการเปิดเผยจะเป็นการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่สมควร ประกอบกับผู้อุทธรณ์ได้รับทราบข้อมูลจากรายงานการสอบสวนไปแล้ว จึงไม่อนุญาต
ผู้อุทธรณ์จึงมีหนังสือลงวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ อุทธรณ์คำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายพิจารณาคำอุทธรณ์และเอกสารที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต ๒ ส่งมาให้แล้วข้อเท็จจริงสรุปได้ความว่า ผู้อุทธรณ์มีหนังสือลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ถึงผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต ๒ ขอบันทึกถ้อยคำพยานฝ่ายกล่าวหาจำนวน ๘ ราย แต่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต ๒ ปฏิเสธการเปิดเผยผู้อุทธรณ์จึงอุทธรณ์คำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าว
คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์คือ บันทึกถ้อยคำพยานของบุคคลเป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยที่ดำเนินการเสร็จสิ้นและมีคำสั่งลงโทษผู้อุทธรณ์แล้วผู้อุทธรณ์มีส่วนได้เสียโดยตรงในข้อมูลข่าวสารที่มีคำขอ จึงจำเป็นต้องได้รับทราบข้อมูลข่าวสารนั้นเพื่อใช้ปกป้องส่วนได้เสียของตน อย่างไรก็ดี การเปิดเผยอาจมีผลกระทบต่อบุคคลผู้ให้ถ้อยคำ จึงควรเปิดเผยโดยปกปิดชื่อหรือข้อความอื่นใดที่จะทำให้ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้ให้ถ้อยคำ ซึ่งการเปิดเผยจะเป็นการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่สมควร ตามมาตรา ๑๕ (๕) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ. ๒๕๔๐ จึงเห็นสมควรไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารในส่วนนี้
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ. ๒๕๔๐ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย จึงวินิจฉัยให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต ๒เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามที่ผู้อุทธรณ์ร้องขอ โดยปกปิดชื่อหรือข้อความอื่นใดที่จะทำให้ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้ให้ถ้อยคำ พร้อมทั้งให้สำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องแก่ผู้อุทธรณ์