เมืองหลวงบูร์กินาฟาโซ ระห่ำรัวยิงนักท่องเที่ยว ไทยผวาสั่งด่วนป้องกัน
ยิ่งกว่าในหนัง หน่วยรบพิเศษบูร์กินาฟาโซ ปะทะเดือดกลุ่มก่อการร้ายเอคิวไอเอ็ม ขณะบุกช่วยเหลือตัวประกัน หลังคนร้ายอาวุธครบมือไม่น้อยกว่า 6 ราย ก่อเหตุกราดยิงใส่โรงแรมและร้านกาแฟกลางเมืองหลวง กรุงวากาดูกู ก่อนจบลงที่มีผู้เสียชีวิตเบื้องต้นอยู่ที่ 23 ศพ บาดเจ็บอย่างน้อย 33 คน ขณะที่อินโดนีเซียไล่ล่าจับกุมแนวร่วมก่อเหตุร้ายได้อีก 12 คน สั่งปิด 11 เว็บไซต์เผยแพร่ข้อความยั่วยุให้ก่อความรุนแรง ส่วนมาเลเซียจับ 4 ผู้ต้องสงสัยเอี่ยวไอเอส ด้าน “จักรทิพย์” กำชับทุกหน่วย เตรียมพร้อมรับมือป้องกันเหตุร้าย ตรวจตราเข้มงวด รวมถึงให้ ตม.ตรวจเข้ม-เฝ้าระวังบุคคลต้องห้ามเข้าประเทศ
กลุ่มก่อการร้ายยังคงออกอาละวาดทั่วโลกอย่างไม่หยุดหย่อน โดยเมื่อวันที่ 16 ม.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเกิดเหตุสะเทือนขวัญที่กรุงวากาดูกู เมืองหลวงบูร์กินาฟาโซ อดีตอาณานิคมฝรั่งเศส ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก หลังกลุ่มคนร้ายพร้อมอาวุธสงครามครบมือ บุกกราดยิงและจับตัวประกัน ภายในโรงแรมสเปลนดิด ส่งผลให้เกิดการปะทะอย่างดุเดือดกับหน่วยรบพิเศษที่เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์เป็นเวลานานกว่าครึ่งวัน
ทั้งนี้ จากการเปิดเผยของหน่วยงานด้านความมั่นคงบูร์กินาฟาโซ เหตุเกิดเมื่อเวลา 20.30 น. ของวันที่ 15 ม.ค. ตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 03.30 น. ของวันที่ 16 ม.ค. ตามเวลาไทย คนร้ายที่เชื่อว่ามีอย่างน้อย 6 คน ขับรถยนต์มาจอดที่บริเวณหน้าโรงแรมสเปลนดิด ก่อนใช้อาวุธสงครามกราดยิงอย่างไม่เลือกหน้าบริเวณหน้าโรงแรม และร้านกาแฟชื่อคาปูชิโน่ ฝั่งตรงข้ามถนน พร้อมจุดไฟเผาทำลายรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่จอดเรียงรายอยู่รวม 10 คัน จากนั้นจึงพากันบุกเข้าไปในโรงแรม ซึ่งพยานในที่เกิดเหตุระบุว่า ภายในโรงแรมได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงปืนดังอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มคนร้ายจ้องเล่นงานชาวต่างชาติ
ส่วนที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม มีผู้พบเห็นเหยื่อกระสุนนอนเรียงรายเกลื่อนระเบียงนอกร้าน ไม่น้อยกว่า 10 คน แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเสียชีวิตหรือไม่ ขณะที่นายโรเบิร์ต ซันกาเร ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยวากาดูกู ระบุในเวลาต่อมาว่าผู้เสียชีวิตเบื้องต้นอยู่ที่ 23 ศพ บาดเจ็บอย่างน้อย 33 คน มีทั้งบาดแผลถูกยิงและตกจากที่สูง พร้อมเห็นได้ชัดว่าคนร้ายเลือกยิงชาวต่างชาติผิวขาวเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่มิได้เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นชาวต่างชาติกี่คน ระบุเพียงว่ามีชาวยุโรปรวมอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม นายซิมอน คัมเปาเร รมว.ความมั่นคงบูร์กินา ฟาโซ ระบุว่าเหยื่อในเหตุการณ์ครั้งนี้มีอย่างน้อย 18 สัญชาติ
จากนั้นอีกประมาณ 5 ชั่วโมงต่อมา เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของบูร์กินาฟาโซ รวมถึงชุดปฏิบัติการพิเศษของฝรั่งเศสและที่ปรึกษาด้านข่าวกรองสหรัฐฯ ได้เดินทางมาถึงโรงแรมสเปลนดิด พบสภาพที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยความเสียหาย กลุ่มคนร้ายได้จุดไฟเผาบริเวณห้องโถงหน้าโรงแรม พร้อมจับตัวประกันอยู่ภายใน จึงได้ตัดสินใจแบ่งกำลังเป็น 2 ชุด และบุกเข้าไปในโรงแรมหวังจบสถานการณ์ ส่งผลให้เกิดการยิงต่อสู้อย่างดุเดือด เสียงปืนและเสียงระเบิดดังสนั่นเป็นเวลานานกว่า 40 นาที ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือตัวประกันออกมาได้ 33 คน ในจำนวนนี้รวมถึงนายคลีมองต์ ซาวาโดโก รมว.แรงงานบูร์กินาฟาโซ
ขณะที่กลุ่มก่อการร้ายสากลอัลเคด้าในอิสลามมัฆริบ หรือเอคิวไอเอ็ม ซึ่งมีฐานที่มั่นในแอฟริกา ได้ออกแถลงการณ์ว่า นักรบของเอคิวไอเอ็มเป็นผู้ลงมือก่อเหตุครั้งนี้ โดยเล็งเป้าหมายที่โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในกรุงวากาดูกู ของบูร์กินาฟาโซ โดย มีจุดประสงค์เพื่อต่อสู้กับศัตรูศาสนา ล้างแค้นฝรั่งเศส และทำลายความน่าเชื่อถือชาติตะวันตก ส่วนเครือข่ายจับตาการเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้าย หรือเอสไอทีอีของสหรัฐฯ ระบุว่า สมาชิกก่อเหตุในครั้งนี้เป็นเครือข่ายของกลุ่มอัล-มูราบิทูน พันธมิตรเอคิวไอเอ็ม ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในประเทศมาลี ทางตอนเหนือของบูร์กินาฟาโซ ทั้งยังอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุบุกจับตัวประกันที่โรงแรมเรดิสัน บลู ในมาลี เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ปีก่อน
ต่อมาสำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ในบูร์กินาฟาโซ ที่ดำเนินมานานกว่าครึ่งวัน โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่ความมั่นคงรัฐบาลบูร์กินาฟาโซ ได้แถลงจบสถานการณ์กลุ่มก่อการร้ายจับตัวประกันในโรงแรมสเปลนดิดเป็นที่เรียบร้อย โดยตัวประกันถูกช่วยเหลือออกมาได้ 126 คน ส่วนคนร้ายเบื้องต้นถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญ-ฆาตกรรม 4 ศพ โดย 3 คนแรกถูกวิสามัญฯ ภายในโรงแรมสเปลนดิด ในจำนวนนี้เป็นผู้ก่อเหตุหญิง 2 คน ส่วนคนร้ายรายที่ 4 ถูกวิสามัญฯหลังหนีไปกบดานในโรงแรมยีบี ใกล้ที่เกิดเหตุ
วันเดียวกัน รัฐบาลอินโดนีเซียแถลงความคืบหน้าการกวาดล้างและจับกุมแนวร่วมกลุ่มติดอาวุธผู้ก่อเหตุระเบิดและยิงปะทะในกรุงจาการ์ตาเมื่อวันที่ 14 ม.ค. ทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย เป็นผู้บริสุทธิ์ 2 ราย และผู้ก่อเหตุ 5 ราย โดยนายโมฮัมหมัด อิกบัล โฆษกสำนักงานตำรวจอินโดนีเซีย เผยว่า หน่วยต่อต้านก่อการร้ายบุกตรวจค้นพื้นที่หลายจุดบนเกาะชวาตะวันตก ชวากลาง รวมถึงกะลิมันตันตะวันออก และจับกุมผู้ต้องสงสัยเป็นแนวร่วมก่อเหตุในกรุงจาการ์ตาได้ 12 ราย พร้อมเปิดเผยข้อมูลว่า นายอาฟิฟ หรือ “ซูนาคิม” หนึ่งในผู้ก่อเหตุ ซึ่งถูกยิงเสียชีวิต เคยฝึกอาวุธในจังหวัดอาเจะห์ ทางเหนือของอินโดนีเซีย และเป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ “คาติบะห์ นูซันตารา” ที่ประกาศสวามิภักดิ์ต่อกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในอิรักและซีเรียในปี 2558 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นายอิสมาอิล คาวิดู เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ กระทรวงการสื่อสารแห่งอินโดนีเซีย แถลงว่า รัฐบาลสั่งปิดเว็บไซต์ 11 เว็บที่เผยแพร่ข้อความยั่วยุให้ใช้กำลังก่อเหตุรุนแรงโดยอ้างความเชื่อทางศาสนาอิสลาม พร้อมทั้งส่งจดหมายขอความร่วมมือผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยมในอินโดนีเซีย ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และเทเลแกรมให้พิจารณาระงับหรือลบข้อมูลของผู้ใช้เครือข่ายที่เข้าข่ายปลุกระดมให้มีการก่อเหตุหรือเผยแพร่แนวคิดสุดโต่งที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ศาสนา พร้อมระบุว่า ที่ผ่านมากลุ่มติดอาวุธแนวร่วมไอเอสในอินโดนีเซียใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือหลักในการปลุกระดมและรับสมัครแนวร่วมหน้าใหม่ ส่วนหน่วยงานความมั่นคงของอินโดนีเซียประเมินว่ามีผู้สนับสนุนไอเอสกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศประมาณ 1,000 ราย
ส่วน พล.ต.อ.คาลิด อาบู บาคาร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย แถลงผลจับกุมผู้ต้องสงสัย 4 ราย ซึ่งเป็นแนวร่วมของกลุ่มไอเอสในมาเลเซีย โดยระบุว่าผู้ต้องสงสัย 3 รายถูกตำรวจในประเทศตุรกีจับกุมได้ขณะทั้งหมดลักลอบเดินทางข้ามฝั่งจากตุรกีไปยังประเทศซีเรีย เพื่อเข้าร่วมต่อสู้กับกลุ่มไอเอส และรัฐบาลตุรกีได้ส่งตัวผู้ต้องสงสัยทั้งหมดกลับมาดำเนินคดีที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้ต้องสงสัยเป็นแนวร่วมไอเอสรายที่ 4 เป็นชายอายุ 28 ปี ถูกจับกุมพร้อมมีดดาบและเอกสารของกลุ่มไอเอสที่สถานีรถไฟใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ใกล้อาคารปิโตรนาสทาวเวอร์ เมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้ต้องสงสัยรับสารภาพว่ามีแผนจะก่อเหตุระเบิดพลีชีพในมาเลเซีย แต่กำลังรอคำสั่งและรายละเอียดขั้นตอนปฏิบัติการจากสมาชิกกลุ่มไอเอสในประเทศซีเรีย
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเหตุวัยรุ่นชายชาวมาเลเซีย อายุ 16 ปีสวมชุดคล้ายกลุ่มนักรบไอเอสใช้มีดจี้สตรีรายหนึ่งในซุปเปอร์มาร์เกต ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซีย แต่ถูกตำรวจตามจับได้ ขณะที่ผลการสอบสวนพบว่าวัยรุ่นคนดังกล่าวมีจิตใจฝักใฝ่กลุ่มไอเอส และติดตามข้อมูลข่าวสารของกลุ่มไอเอสผ่านสื่อออนไลน์ จึงลงมือก่อเหตุเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองสามารถสร้างความหวาดกลัวแก่ผู้คนได้ และสำ นักข่าวเอเอฟพีรายงานด้วยว่ารัฐบาลมาเลเซียกำลังจับตามองกลุ่มชาวมาเลเซีย ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากประเทศซีเรีย อย่างใกล้ชิด ในฐานะผู้ต้องสงสัยเป็นแนวร่วมไอเอส ที่เผยแพร่แนวคิดปลุกระดมให้ใช้ความรุนแรงก่อวินาศกรรม
ส่วนในไทย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.เปิดเผยว่า ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดดำเนินการตามแนวทางการป้องกันเหตุ เชื่อว่าไม่น่ามีผลกระทบไทยเนื่องจากไม่ใช่คู่ขัดแย้ง แต่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้คนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ให้ทุกหน่วยงานป้องกันสถานที่สำคัญ สถานที่ราชการและสถานประกอบการที่สำคัญ ห้างสรรพสินค้า รวมทั้งสถานทูต สถานกงสุล แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และป้องกันภัยบุคคลสำคัญของประเทศ ไทยและต่างประเทศ ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวความเคลื่อนไหวบุคคล กลุ่มบุคคลเป้าหมายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่มีพฤติการณ์เป็นภัยต่อความมั่นคง หรือกระทำการที่ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยว ให้ประสานทหาร ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อบูรณาการการปฏิบัติงาน การจัดกำลังออกตรวจร่วมในช่วงเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อป้องกัน ปราบปราม และตัดโอกาสคนร้ายในการกระทำความผิด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม รวมถึงให้ สตม.เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจค้นบุคคลที่เดินทางเข้าออกราชอาณาจักร โดยเฉพาะบุคคลต้องห้าม ให้มีบัญชีเป้าหมายบริเวณท่าอากาศยานนานาชาติทุกแห่ง และด่าน ตม.ในพื้นที่แนวชายแดน
ทั้งนี้ ในวันเดียวกัน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.(มค.) มีหนังสือคำสั่งเลขที่ 0007.33/5 ด่วนที่สุดให้ทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมและรับมือการป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น โดยให้ทุกกองบัญชาการ จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำรวจข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่สำคัญ พร้อมทั้งจัดทำแผนเผชิญเหตุในการป้องกันและระงับการก่อการร้าย และการก่อวินาศกรรม ในเขตพื้นที่รับผิดชอบให้เป็นปัจจุบัน และทันต่อเหตุการณ์ มีการป้องกันภัยให้บุคคลสำคัญต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ รวมไปถึงการป้องกันสถานที่กลุ่มเสี่ยงต่างๆ เช่น ท่าอากาศยาน สถานีรถไฟ ท่าเรือ สถานี ขนส่ง สถานีไฟฟ้า ศูนย์โทรศัพท์ สถานศึกษา โรงพยาบาล สถานทูต สถานกงสุล ฯลฯ และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของชาวต่างชาติ รวมทั้งกำชับให้ประสานขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ช่วยกันสอดส่องดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่ของตนเอง แจ้งเบาะแสต่างๆ กับเจ้าหน้าที่เพื่อที่จะสามารถเข้าไปแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที และยังได้เน้นย้ำให้ สตม.เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบบุคคลที่เดินทางเข้า-ออกประเทศ โดยเฉพาะบุคคลต้องห้ามในบัญชีเป้าหมายบริเวณท่าอากาศยานนานาชาติทุกแห่ง และการตรวจยานพาหนะบริเวณด่านชายแดนอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาประเทศไทย
นอกจากนี้ ในช่วงสาย พล.ต.ต.ชัยพร พานิชอัตรา ผบก.น.3 และ พ.ต.อ.วัฒนา ยี่จีน รอง ผบก.น.3 พร้อมฝ่ายสืบสวน สน.มีนบุรี ทหาร และสุนัขตำรวจ นำกำลังเข้าตรวจค้นหอพักไม่มีชื่อ เลขที่ 14, 31 ซอยราษฎร์อุทิศ 44/2 ถนนราษฎร์อุทิศ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ หลังมีสถานการณ์ก่อวินาศกรรมกลางกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ตามมาตรการเอกซเรย์พื้นที่สุ่มเสี่ยงของรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจ นครบาล เพื่อเฝ้าระวังและป้องปรามผู้ที่ไม่หวังดีเข้ามาอยู่ตามชุมชนหรือหอพักทั่ว กทม. ซึ่งจากการตรวจค้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย
ที่มา : ไทยรัฐฉบับพิมพ์ วันที่ 17 ม.ค. 2559 06:30 น.
Link : http://www.thairath.co.th/content/563803