อิสราเอลผุด “กองทุนสายลับ” เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสอดแนม พร้อมเปิดทางให้บริษัทต่างชาติเสนอโครงการ

Loading

“โมสสาด” (Mossad) หน่วยงานข่าวกรองของอิสราเอล จัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านปฏิบัติการสายลับ และกำลังให้เงินสนับสนุนมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท ต่อโครงการที่สามารถนำสร้างความคิดใหม่ๆด้านการสอดแนม รัฐบาลอิสราเอลกล่าวว่าหน่วยงานโมสสาดต้องการสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งด้านหุ่นยนต์ การย่อส่วน และการตั้งรหัสลับ นอกจากนั้นทางการมุ่งหาวิธีดึงข้อมูลจากเอกสารด้วยระบบอัตโนมัติ และการปฏิบัติภารกิจลับในรูปแบบที่ยังไม่เคยมีมาก่อน กองทุนนี้ซึ่งถูกตั้งชื่อว่า Libertad ยอมทุ่มเงินเพื่อให้ได้สิทธิ์ในเทคโนโลยีสอดแนม แต่ยังสามารถให้ผู้พัฒนาคงสิทธิ์ในการขายนวัตกรรมของตน กองทุน Libertad กล่าวว่าผู้สนใจเสนอโครงการควรพิจารณารายละเอียดของเทคโนโลยีที่ทางการสนใจ และให้ยื่นคำเสนออย่างเปิดเผย โดยเปิดให้ทุกคนเสนอโครงการได้ นั่นดูเหมือนว่ารวมถึงบริษัทต่างชาติด้วย แต่กองทุนไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู โพสต์คลิปวิดีโอบนทวิตเตอร์ที่แสดงถึงความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีล้ำยุค และเขียนว่าโมสสาดจะยังคงมีความทันสมัย และกล้าทำสิ่งใหม่ๆ ในงานสำคัญด้านความมั่นคง อิสราเอลมีบริษัทด้านความมั่นคงทางอินเทอร์เน็ทกว่า 450 แห่ง และหน่วยงาน Israel Venture Capital Research Center รายงานว่าเมื่อปีที่แล้วบริษัทเทคโนโลยีน้องใหม่หรือ startup 78 แห่งในอิสราเอลสามารถระดมทุน 660 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นอุตสาหกรรมทางทหารของอิสราเอลสร้างรายได้คิดเป็นร้อยละ 14 ของการส่งออก อย่างไรก็ตามกองทุน Libertad ของอิสราเอลไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ หากเปรียบเทียบกับกองทุน IQT ของสหรัฐฯ…

Israel’s Mossad Sets Up Fund to Acquire New Spy Techniques

Loading

JERUSALEM – Israel’s Mossad intelligence agency has set up an investment fund to help development of new cloak-and-dagger know-how and is offering grants of up to 2 million shekels (about $570,000) per project to bring in new ideas. A government statement on Tuesday said Mossad was seeking technologies in various fields, including robotics, miniaturization and encryption,…

ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ !! ฐานข้อมูลผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงกว่า 198 ล้านคนรั่วไหลสู่สาธารณะ

Loading

UpGuard บริษัทด้านความมั่นคงปลอดภัยชื่อดัง ออกมาเปิดเผยถึงการรั่วไหลของข้อมูลจาก Amazon S3 ครั้งใหญ่สู่สาธารณะ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในสหรัฐฯ รวมแล้วกว่า 198 ล้านคน นับได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ข้อมูลส่วนบุคคลถูกเปิดเผยอย่างไม่มีการป้องกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ Credit: Andrea Danti/ShutterStock   ข้อมูลของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงที่หลุดออกมานี้ มาจากฐานข้อมูลของ 3 บริษัทด้าน Data Mining ยักษ์ใหญ่ 3 รายที่สนับสนุนพรรคริพับลิกัน ได้แก่ Deep Root Analytics, TargetPoint Consulting, Inc. และ Data Trust ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลชื่อนามสกุล วันเกิด ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ สัญชาติ ศาสนา และข้อมูลทะเบียนอื่นๆ ที่ทั้ง 3 บริษัทสามารถนำไปใช้เพื่อวิเคราะห์และคาดคะเนการลงคะแนนเสียงได้ ที่สำคัญคือ ข้อมูลที่รั่วออกไปนี้ประกอบด้วยข้อมูลของประชาชนชาวอเมริกันจากทั้ง 50 รัฐ และเขตปกครองพิเศษโคลัมเบีย จากการตรวจสอบพบว่าฐานข้อมูลที่รั่วไหลสู่สาธารณะนี้ ถูกใช้เพื่อสนับสนุนแคมเปญในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของพรรคริพับลิกัน 3 ปีล่าสุด คือ…

เตือนเว็บไซต์ Phishing ปลอมเป็น PayPal หลอกให้ถ่ายเซลฟี่คู่กับบัตรประชาชน

Loading

PhishMe ผู้ให้บริการโซลูชัน Anti-phishing ชื่อดัง ออกมาแจ้งเตือนถึงแคมเปญ Phishing ที่หลอกขโมยข้อมูลล็อกอินของผู้ใช้ PayPal รวมไปถึงข้อมูลบัตรเครดิต และข้อมูลบัตรประชาชนผ่านทางการถ่ายรูปเซลฟี่เพื่อใช้ยืนยันตัวตน PhishMe ระบุว่า แคมเปญ Phishing นี้แพร่กระจายผ่านทางอีเมลสแปม เมื่อเหยื่อเผลอคลิกลิงค์ที่แนบมา จะนำเหยื่อไปยังเว็บไซต์ของแฮ็คเกอร์ที่ปลอมหน้าล็อกอินให้เหมือนกับ PayPal พร้อมถามชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน จากการตรวจสอบพบว่า เว็บ Phishing นี้เป็น WordPress ในประเทศนิวซีแลนด์ และไม่มีการปลอม URL ให้มีความคล้ายคลึงกับ URL ของ PayPal แต่อย่างใด นั่นหมายความว่า เหยื่อที่พอจะมีประสบการณ์กับเรื่อง Phishing เพียงเล็กน้อยก็จะสังเกตถึงความผิดปกติ และทราบทันทีว่าไม่ใช่เว็บไซต์ของ PayPal จริงๆ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เหยื่อหลงกล เผลอกรอกข้อมูลล็อกอินเข้าไป ข้อมูลชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านจะถุกส่งไปยังแฮ็คเกอร์ทันที แต่เพียงเท่านี้แฮ็คเกอร์ยังไม่พอใจ เว็บ Phishing ยังพยายามหลอกเอาข้อมูลจากเหยื่อให้ได้มากที่สุด โดยในขั้นตอนล็อกอิน 4 ขั้นนั้น จะมีการถามที่อยู่ของเหยื่อ ข้อมูลบัตรเครดิต และให้เหยื่อถือรูปบัตรประชาชนแล้วถ่ายรูปเซลฟี่ส่งมาให้ด้วย โดยระบุว่าเป็นการยืนยันตัวตน เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายหลักของแฮ็คเกอร์คือคนที่ไม่รู้เรื่องและไม่มีความตระหนักด้านความมั่นคงปลอดภัยเลย…