ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๒ ให้ความหมายคำว่า “การบ่อนทำลาย”(Subversion) คือ การกระทำใดๆ ที่มุ่งก่อให้เกิดความแตกแยก ความปั่นป่วน ความกระด้างกระเดื่อง อันจะนำไปสู่ความไม่สงบ หรือความอ่อนแอภายในประเทศ หรือมุ่งเฉพาะต่อสภาพทางการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา หรือทางใดทางหนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง หรือล้มล้างสถาบันการปกครองของประเทศ หรือมุ่งทำลายความจงรักภักดีของชนในชาติต่อสถาบันของชาติ หรือเพื่อเอื้อประโยชน์แก่รัฐต่างชาติ นอกจากนี้ การบ่อนทำลายนับเป็นกลวิธีที่สามารถนำมาใช้กับเป้าหมายพื้นฐานทุกกลุ่มของประเทศได้อีกด้วย
แต่เดิมการบ่อนทำลายนับเป็นยุทธวิธีที่ต้องดำเนินการอย่างปิดบังในพื้นที่ควบคุมของฝ่ายที่ตกเป็นเป้าหมาย การบ่อนทำลายจึงเป็นการดำเนินภารกิจร่วมเฉพาะเพียงผู้ให้การสนับสนุนกับผู้ปฏิบัติเท่านั้น จำเป็นต้องจำกัดการรับทราบได้เท่าที่จำเป็น เนื่องจากเป็นการแฝงเข้าไปค้นหาจุดอ่อนของฝ่ายที่ตกเป็นเป้าหมายเพื่อทำลาย ขณะที่ฝ่ายที่ตกเป็นเป้าหมายอาจมีความเข้มแข็งเท่าเทียมกันหรือสูงกว่า จึงนับเป็นภารกิจที่เสี่ยงภัยอันตรายจนอาจถึงชีวิตของผู้ปฏิบัติ อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าไปสร้างความอ่อนแอ แตกแยกจนประสบผลแล้ว จะสามารถดำเนินการทำลายอำนาจของฝ่ายที่ตกเป็นเป้าหมายให้สูญสลาย วิธีการบ่อนทำลายนี้อาจไม่ทำลายหรือส่งผลกระทบต่อทรัพย์สิน สิ่งก่อสร้าง หรือก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตเช่นวิธีการต่อสู้อื่น อย่างเช่นการก่อวินาศกรรม หรือการก่อการร้าย หรือการทำสงครามสู้รบ
การบ่อนทำลายเป็นวิธีที่ยากต่อการป้องกันหรือแม้แต่การวางมาตรการป้องปราม เพราะเป็นการสร้างหรือนำอคติของมนุษย์ที่มีต่อกันมาเป็นแนวทางในการต่อสู้และเอาชนะกัน การบ่อนทำลายเป็นกลวิธีที่มีการนำใช้มานับแต่สมัยพุทธกาล เห็นได้จากคำสอนเรื่อง สามัคคีเภทคำฉันท์ ซึ่งเล่าถึงกลวิธีเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้าม เริ่มจากความต้องการขยายดินแดนและนำไปสู่การสู้รบระหว่างแคว้นมคธกับแคว้นวัชชีในอินเดีย โบราณ เมื่อไม่สามารถสู้รบให้ประสบผลแพ้-ชนะต่อกัน ฝ่ายแคว้นมคธจึงใช้วิธีบ่อนทำลายแคว้นวัชชี ด้วยการทำอุบายส่งวัสสการพราหมณ์ ปุโรหิตแห่งแคว้นมคธ เข้าไปยุยงกลุ่มกษัตริย์ลิจฉวีแห่งแคว้นวัชชี จนแตกความสามัคคี และเป็นเหตุให้แคว้นวัชชีอ่อนแอลง แคว้นมคธจึงส่งกองทัพเข้ายึดครองได้สำเร็จ
สภาพพื้นฐานที่เอื้อต่อการบ่อนทำลาย
สภาพทางการเมืองภายในประเทศนับเป็นเป้าหมายหลักของการบ่อนทำลาย หากสามารถทำให้สภาพการเมืองภายในประเทศอ่อนแอ การเข้าควบคุมจะกระทำได้โดยง่าย การบ่อนทำลายสภาพการเมืองมักเริ่มด้วยการสร้างความรู้สึกขาดความเป็นธรรม ซึ่งต่อไปจะส่งผลสืบเนื่องให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกระหว่างกลุ่มประชาชน จนถึงระหว่างประชาชนกับฝ่ายปกครอง ซึ่งได้แก่ คณะรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ หรือฝ่ายตุลาการ รวมทั้งสถาบันต่างๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาติ
เป้าหมายของการบ่อนทำลาย
-
- การบ่อนทำลายการทหาร ด้วยการสร้างความรู้สึกแตกแยกภายในกลุ่มทหารหรือระหว่างเหล่าทัพหรือกับกลุ่มอื่นๆ เช่น ตำรวจหรือประชาชน โดยก่อให้เกิดความรู้สึกขาดความเคารพนับถือ และทำให้เสื่อมการถือปฏิบัติตามระเบียบวินัย สาเหตุที่จะก่อให้อคติเหล่านี้มาจากความเหลื่อมล้ำในการแต่งตั้งเลื่อนยศหรือตำแหน่งหน้าที่ หรือสร้างความรู้สึกขัดแย้ง ความเลื่อมล้ำระหว่างทหารกับข้าราชการหรือระหว่างทหารกับตำรวจ โดยเฉพาะการสร้างและเผยแพร่ข่าวสารโจมตีกลุ่มทหาร จนประชาชนหมดความเชื่อถือ เช่น กรณีการจัดสรรงบประมาณของประเทศ ให้แก่ฝ่ายทหารสำหรับใช้จ่ายเพื่อการป้องกันประเทศมากเกินความจำเป็น เป็นต้น
- การบ่อนทำลายทางเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างความรู้สึกไร้ความเป็นธรรมในการดำรงชีพและถูกเอาเปรียบทางแรงงาน จนกลายเป็นความไม่พอใจหรืออคติระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง หรือสร้างข่าวสารให้เกิดความรู้สึกขาดความมั่นใจในการลงทุน การบ่อนทำลายทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มุ่งการสร้างข่าวสารด้านความขาดแคลนที่ส่งผลกระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชน ซึ่งเมื่อเกิดความรู้สึกคล้อยตามหรือเริ่มขาดความเชื่อต่อฝ่ายปกครองแล้ว ย่อมจะเกิดการเคลื่อนไหวที่สืบเนื่องต่อไปตามเป้าประสงค์ของการบ่อนทำลาย เช่น การเสนอข่าวสารเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยข่าวสารความแห้งแล้งนี้อ้างอิงพร้อมกับข้อมูลความเป็นจริงที่เกิด ณ ขณะนั้น เนื่องจากช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีประเทศไทยอยู่ในช่วงปลายหน้าแล้ง ฉะนั้น ปริมาณน้ำที่กักเก็บไว้ตั้งแต่เดือนกันยายน ย่อมลดน้อยลงมาก เพราะมีการใช้น้ำเพื่อการเกษตรมาตลอด เมื่อปรากฏข่าวสารการขาดแคลนน้ำขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและสร้างความรู้สึกขัดแย้งไม่พอใจต่อรัฐบาลที่ไม่สามารถบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค
- การบ่อนทำลายต่อสังคมจิตวิทยา ด้วยการก่อให้เกิดความสับสนทางความคิดและความรู้สึกขัดแย้งในสถาบันครอบครัว ศาสนา หรือขนบธรรมเนียม ประเพณี หรือแม้แต่การสร้างค่านิยมที่เป็นผลในด้านทำลายวิถีการดำรงชีวิตแบบเดิม ตัวอย่างที่เห็นอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน คือ ผลความขัดแย้งจากกรณีการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ประมุขทางพุทธศาสนา ถึงแม้จะไม่เกิดการใช้กำลังความรุนแรงขึ้นก็ตาม แต่ข่าวสารที่เผยแพร่สร้างความรู้สึกไม่พอใจระหว่างกลุ่มประชาชนต่างๆ เหมือนความรู้สึกแบ่งแยกในหมู่สงฆ์ระหว่างฝ่ายมหานิกายและฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ ทั้งนี้เนื่องจากตำแหน่งของสมเด็จพระสังฆราชมักมาจากฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เป็นต้น
ในปัจจุบันการดำเนินการบ่อนทำลายไม่จำเป็นต้องเป็นการกระทำระหว่างรัฐต่อรัฐโดยตรง แต่จะกระทำต่อเป้าหมายใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐหรือภาคเอกชน หรือต่อประชาชน โดยจะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงรัฐได้ในภายหลังแต่วิธีดำเนินการจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายที่ต้องการ แล้วจึงศึกษาข้อมูลที่เป็นจุดอ่อนหรือความบกพร่องของฝ่ายที่ตกเป็นเป้าหมาย และวางแผนการให้ชัดเจนก่อน ทั้งต้องเตรียมรับว่า เป็นวิธีการที่อาจต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการยาวนานกว่าจะบรรลุผล แต่หากประสบผลสำเร็จแล้ว จะสามารถทำ
การเปลี่ยนแปลงกับฝ่ายที่ตกเป็นเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์ โดยแทบไม่มีโอกาสฟื้นฟูกลับคืนสู่อำนาจหรือกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ อย่างไรก็ดี สภาพในปัจจุบันรูปแบบของการบ่อนทำลายเปลี่ยนแปลงจากการบั่นทอนความน่าเชื่อถือกลายเป็นความรู้สึกรังเกียจระหว่างกลุ่มต่างๆ ซึ่งต่อไปอาจกลายไปสู่ความขัดแย้งหรือต่อต้านกันจนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคมปกติทั่วไป ประกอบกับพัฒนาการของวิทยาการสมัยใหม่ โดยเฉพาะระบบสารสนเทศและการติดต่อสื่อสารที่สามารถกระจายข้อมูลข่าวสารไปอย่างรวดเร็วและยากต่อการควบคุม เหล่านี้นับเป็นเครื่องมืออย่างดียิ่งที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการดำเนินการบ่อนทำลาย ด้วยสาเหตุจากวิทยาการเหล่านี้ จึงนำไปสู่การปรับเปลี่ยนวิธีการบ่อนทำลายรูปแบบใหม่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างปิดบังจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ซึ่งต้องมีกลุ่ม ให้การสนับสนุน แต่จากวิทยาการสมัยใหม่ ซึ่งทำให้การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ทั้งควบคุมหรือพิสูจน์ทราบการเผยแพร่ได้โดยยาก โดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ ทำให้สามารถนำข้อมูลข่าวสาร ซึ่งรวบรวมจากแหล่งข่าวเปิดที่เกี่ยวข้องกับความบกพร่องต่างๆ มาสร้างแรงจูงใจหรือความเชื่อให้แพร่กระจาย จนส่งผลกระทบกับฝ่ายตกที่เป็นเป้าหมาย และล่มสลายไปด้วยข้อบกพร่องของตนเองในที่สุด