ปัจจุบันเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีและสารสนเทศ การใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟนเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ดีภัยที่เกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ตก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน การละเมิดข้อมูล การบิดเบือนข่าวสารในสื่อโซเชียลมีเดียถูกพบเป็นจำนวนมาก เพราะการสร้างข้อมูลอันเป็นเท็จนั้นทำได้ง่ายมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น การใช้งานโปรแกรมตกแต่งรูปภาพในคอมพิวเตอร์ เช่น โปรแกรม Photoshop, โปรแกรม Lightroom รวมถึงแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟน ผู้ผลิตได้พัฒนาโปรแกรมให้ใช้ง่ายขึ้น ผู้ใช้งานสามารถเรียนรู้ขั้นตอนการทำได้ด้วยตัวเอง ทั้งยังมีเนื้อหาและวิดีโอการสอนแบบไม่เสียเงินบริการผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ อย่างแพร่หลาย
Photoshop เป็นโปรแกรมกราฟิกของบริษัท Adobe สำหรับงานอุตสาหกรรมการพิมพ์ ออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์และงานด้านมัลติมีเดีย ที่ง่ายต่อการเรียนรู้เพื่อนำมาใช้งาน คุณสมบัติของโปรแกรม Photoshop ที่พิจารณาแล้ว เห็นว่ามีความเหมาะสมสำหรับนำมาประดิษฐ์ภาพถ่าย เพื่อเผยแพร่เป็นข้อมูลข่าวสารในการสร้างความน่าเชื่อถือหรือบ่อนทำลายความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี คุณสมบัติดังกล่าวคือ
1) ตกแต่งดัดแปลงหรือแก้ไข (retouching) เช่น ปรับสีที่ผิดเพี้ยน ปรับแสงเงาที่สว่างหรือมืดเกินไป ลบแสงสะท้อนจากแฟลช ดัดแปลงโครงสร้างในภาพ
2) ตัดต่อทั้งภาพหรือบางส่วน (crop) เช่น ตัดส่วนที่ไม่ต้องการออกไป ลบองค์ประกอบที่รกรุงรัง ปรับภาพให้เบลอหรือคมชัด หรือขจัดเม็ดสีที่เกิดในภาพที่แสกนในสิ่งพิมพ์
3) แบ่งชั้นของภาพเป็นเลเยอร์ (Layer) และเคลื่อนย้ายภาพได้เป็นอิสระต่อกัน
4) ทำภาพซ้ำในรูปภาพเดียวกัน (cloning) โดยนำภาพมาซ้อนกันและเลือกบางส่วนของแต่ละภาพ แล้วนำมาสร้างใหม่เป็นภาพเดียวกัน
การตรวจสอบรูปภาพตัดต่อเบื้องต้นอาจทำได้หลายวิธี ดังนี้
1) การตรวจสอบในเบื้องต้น นายฮานี ฟาริด ผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาพตัดต่อจากวิทยาลัยดาร์ทเมาธ์ สหรัฐฯ และผู้ก่อตั้งบริษัท โฟร์แอนด์ซิกส์ เทคโนโลยี ซึ่งให้บริการตรวจสอบสิ่งที่ทำหลอก เขากล่าวว่า สิ่งที่ปลอมยากที่สุดในรูปถ่ายคือแสง, เงา และการสะท้อน สอดคล้องกับนิตยสารวิทยาศาสตร์ สหรัฐฯ “ไซน์ทิฟิกอเมริกัน” ที่แนะนำให้สังเกตดูจุดตกกระทบของ “แสง” ซึ่งควรไปทิศทางเดียวกัน ตำแหน่งสายตาของคนในภาพ และจุดที่แสงตกกระทบบนดวงตา ซึ่งควรสอดคล้องกับคนอื่นในภาพหรือแสงในภาพ
2) การใช้โปรแกรม Photoshop เพื่อดูความละเอียดของเม็ดสี (pixel) ซึ่งในภาพต้นฉบับและภาพที่นำเข้ามาใหม่จะมีเม็ดสีที่แตกต่างกัน สามารถหาเลเยอร์ของภาพที่นำเข้ามาซ้อนกันได้
3) การตรวจสอบผ่านโปรแกรมบนเว็บไซต์ให้บริการตรวจสอบรูปภาพ เช่น tineye.com errorlevelanalysis.com ฯลฯ หากเป็นภาพตัดต่อ ผลจะแสดงออกมาให้เห็นร่องรอยการตัดต่อ หรือแต่งเติมบนภาพ
4) การใช้โปรแกรมท่องเว็บ (Web Browser) ของ Google Chrome ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบว่ารูปภาพนั้นได้นำมาจากอินเทอร์เน็ตหรือไม่ เป็นคำสั่งให้ค้นหาภาพที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันจากโปรแกรม Google โดยการกดเมาส์ด้านขวาบนรูปภาพแล้วเลือก “Search Google for this image” นอกจากนั้นยังสามารถทราบถึงสถานที่กรณีที่เป็นภาพวิวหรือสถานที่ท่องเที่ยว หรืออาจทราบถึงตัวบุคคลในภาพ วัน-เวลาที่โพสต์ออนไลน์ และเว็บไซต์ต่างๆ ที่ปรากฏรูปภาพนั้น
5) การตรวจสอบจากข้อมูลของภาพถ่ายดิจิทัล หรือ EXIF (Exchangeable Image Files Format) ที่มีฟอร์แมตเป็น JPEG, TIFF ฯลฯ ซึ่งรายละเอียดของ EXIF ประกอบด้วย วัน-เวลาที่ถ่ายภาพ ค่าต่างๆ ของกล้องและที่ใช้ในการถ่ายภาพ และหากเปิด GPS ของกล้องก็จะทราบสถานที่ถ่ายภาพ ฯลฯ หากภาพต้นฉบับมีการแก้ไขตัดต่อ ข้อมูล EXIF ก็จะหายไป โปรแกรมที่สามารถดูค่า EXIF ได้แก่ โปรแกรม ACDSee โปรแกรม Photoscape และโปรแกรม JPEGSnoop เป็นต้น
รูปภาพตัดต่อของ บิน ลาดิน ที่ถูกเผยแพร่ในสื่อต่างๆ หลัง สหรัฐฯ เปิดเผยว่าได้สังหาร ลาดิน แล้ว
ภาพจาก http://allphotoz.blogspot.com
ภาพหลังการโจมตีทางอากาศที่เมืองเบรุต ประเทศเลบานอน เผยแพร่เมื่อ 6 ส.ค.2549 (ภาพด้านซ้าย)
สำนักข่าวรอยเตอร์ตกแต่งภาพโดยเพิ่มความหนาของควัน ใช้เทคนิค cloning (ภาพด้านขวา)
ภาพจาก http://www.freedmanslife.com/2006/08/
ที่มา : ส่วน รปภ.3 สำนัก 10