เอเจนซีส์ – เกิดเหตุเพลิงไหม้อพาทเมนต์ชั้น 50 ตึกทรัมป์ทาวเวอร์ นิวยอร์ก วันเสาร์(7 เม.ย)เมื่อเวลา 17.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น มีผู้เสียชีวิต 1 รายเป็นผู้ที่อาศัยอยู่บนอพาทเมนต์วัย 67 ปี และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงบาดเจ็บอีก 6 นาย ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ดับเพลิงร่วม 200 นายเข้าสู่พระเพลิง สุดอึ้งชั้นบนของตัวตึกไม่มีระบบสปริงเกอร์ดับเพลิง ด้านประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้อยู่ที่สำนักงานและเพนต์เฮาส์ ชั้นบนของอาคารขณะเกิดเหตุ แต่ส่งเสียงชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ผ่านทวีตเตอร์
CNN สื่อสหรัฐฯรายงานเมื่อวานนี้(7 เม.ย)ว่า อ้างอิงจากสำนักงานดับเพลิงนิวยอร์ก พบมีผู้เสียชีวิต 1 ราย และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงบาดเจ็บอีก 6 นาย แต่อยู่ในขั้นเล็กน้อย แต่ทว่าในรายงานสื่ออื่นๆ เป็นต้นว่า หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส และรอยเตอร์รายชี้ว่า มีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงบาดเจ็บเล็กน้อย 4 นาย
แองเจลิกา คอนรอย (Angelica Conroy) โฆษกหญิงสำนักงานดับเพลิงนิวยอร์กให้ข้อมูลกับ CNN ว่า ผู้ตายเป็นผู้ที่พักในอพาทเมนต์ชั้น 50 ของตัวอาคารทรัมป์ทาวเวอร์ นิวยอร์ก ซึ่งอยู่ในวัย 67 ปี เป็นชาย ถูกเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพบในสภาพหมดสติและไม่ตอบสนอง และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในสภาพอาการขั้นสาหัส และถูกประกาศเสียชีวิตในเวลาต่อมา คอนรอยชี้ว่า เจ้าหน้าที่ชันสูตรจะทำการตรวจสอบหาสาเหตุการเสียชีวิตต่อไป
อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สพบว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในเวลา 17.30 น.ของวันเสาร์(7) การเข้าดับเพลิงต้องใช้เจ้าหน้าที่มากกว่า 200 นาย CNN รายงานว่า ไฟถูกควบคุมให้สงบภายใน 2 ช.มหลังจากมีการรายงานครั้งแรก โดยสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ในเวลา 21.00 น. ซึ่งพบว่าเพลิงไม่ลุกลามไปยังส่วนอื่นๆของอาคาร แต่ถูกควบคุมให้อยู่เฉพาะชั้น 50 ของตัวตึกใกล้กับถนนฟิฟท์ อเวนิว ทั้งนี้อาคารทรัมป์ทาวเวอร์ นิวยอร์ก มีทั้งหมด 58 ชั้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาเกิดเหตุตัวผู้นำสหรัฐฯ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีสำนักงานและเพนท์เฮาส์ส่วนตัวอยู่ชั้นบนของอาคารไม่ได้อยู่ภายในตึก ทรัมป์ ทาวเวอร์ ขณะเกิดเหตุ และไม่พบว่ามีสมาชิกตระกูลทรัมป์คนใดอยู่ด้านในอาคารในช่วงเวลานั้น CNN กล่าว
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์รายงานเพิ่มเติมว่า ผู้บัญชาการดับเพลิงนิวยอร์ก แดเนีบล เอ. นีโกร (Daniel A. Nigro) แถลงว่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงของหน่วยและหน่วยตำรวจลับสหรัฐฯเข้าไปภายในตัวอาคารเพื่อตรวจสอบสภาพความเสียหายภายในที่พักของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งในเวลานั้นพบว่า อาคารเต็มไปด้วยควันคละคลุ้ง นีโกรชี้ว่า ในเวลานี้ยังไม่แน่ชัดว่า มันไปถึงที่พักของทรัมป์หรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม ***พบว่าบริเวณชั้นบนของตัวอาคารซึ่งถูกออกแบบให้เป็นที่พักอาศัย แต่กลับไม่มีระบบสปริงเกอร์น้ำฉีดดับเพลิง*** อ้างอิงจากการให้ข้อมูลของผู้บัญชาการดับเพลิงนิวยอร์ก นีโกร ซึ่งจากการที่ตัวตึกแห่งนี้เป็นที่พักและสำนักงานของผู้นำประเทศ ทำให้อาคารทรัมป์ทาวเวอร์ นิวยอร์ก มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดตลอด 24 ช.ม แต่ระบบการรักษาความปลอดภัยด้านเพลิงไหม้พิเศษจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯเดินทางมาที่ตึกแห่งนี้เท่านั้น หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงาน
CNN รายงานว่า นอกเหนือจากผู้นำสหรัฐฯที่ทวีตแสดงความชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงนิวยอร์กที่สามารถเข้ากู้สถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว พบว่า อีริค ทรัมป์ บุตรชายผู้นำสหรัฐฯได้ร่วมทวีตแสดงความชื่นชมต่อความสำเร็จนี้ด้วย
“ไฟไหม้ที่ตึกทรัมป์ ทาวเวอร์ดับลงแล้ว เป็นที่จำกัดมากในอาคารที่ถูกสร้างมาอย่างดี เจ้าหน้าที่ดับเพลิงทั้งชายและหญิงทำหน้าที่ได้ดีมาก” รายงานจากทวีตเตอร์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์
ด้านลาลิธา แมสสัน(Lalitha Masson)วัย 76 ปี พยานในเหตุการณ์ ซึ่งเป็นผู้พักอาศัยบนชั้น 36 พร้อมกับ นารินเดอร์(Narinder)สามีของเธอวัย 79 ปี ซึ่งป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน กล่าวอย่างขวัญเสียว่า “เป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวเอามากๆ” และกล่าวเสริมว่า “เมื่อดิฉันดูโทรทัศน์ ดิฉันคิดว่าพวกเราต้องเสร็จแล้ว”
พยานเหตุไฟไหม้ทรัมป์ทาวเวอร์กล่าวว่า “ดิฉันได้เริ่มสวดภาวนา และคิดว่านี้เป็นครั้งสุดท้ายของพวกเรา ดิฉันโทรศัพท์ไปหาลูกชายคนโต และกล่าวอำลาเขา เพราะในเวลานั้นเหมือนทุกอย่างจะหล่นลงไปออกนอกหน้าต่าง และทำให้ดิฉันนึกไปถึงเหตุการณ์ 11 กันยาฯ” แมสสันกล่าวให้ข้อมูลว่า เธอไม่ได้ยินเสียงสั่งอพยพแต่อย่างใด และเมื่อเธอโทรศัพท์ติดต่อไปส่วนประชาสัมพันธ์ที่อยู่ด้านล่าง ไม่มีใครรับโทรศัพท์
ในขณะที่บริเวณด้านนอกตัวอาคาร หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ชี้ว่า เจ้าหน้าที่กั้นบริเวณด้านหน้าไม่ให้สามารถผ่านเข้ามาที่ตัวตึกได้ และกั้นถนนรวมไปถึงบริเวณทางเท้าบริเวณฝั่งตรงกันข้ามของถนนฟิฟท์ อเวนิว ในขณะที่ผู้พักอาศัยชายอีกรายบนชั้น 42 ของตัวตึก เดนนิส ชีลด์ส์( Dennis Shields) ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับทนายความส่วนตัวของผู้นำสหรัฐฯ ไมเคิล ดี. โคเฮน( Michael D. Cohen) กล่าวว่า “คุณสามารถได้กลิ่นควันไฟ และได้ยินเหมือนมีอะไรหล่นลงไปด้านล่างทางช่องลม” และเสริมว่า “มันเหม็นเหมือนสารซัลเฟอร์”
ทั้งนี้ชีลส์ยืนยันเหมือนแมสสันว่า ไม่มีคำสั่งอพยพ แต่ทว่าเขาได้รับข้อความทางโทรศัพท์จากโคเฮน ซึ่งเตือนให้เขารีบหนีจากที่เกิดเหตุ โดยกล่าวว่า “คุณอยู่ในตัวตึกหรือปล่าว” และเขาตอบกลับไปว่า “ใช่” ทำให้โคเฮนตอบกลับมาว่า “คุณรีบหนีออกไปให้เร็วที่สุด นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้ในการต้องออกไป ไม่เช่นนั้นผมคงอยู่ด้านในตึกในเวลานี้แล้ว”
————————————————————-
ที่มา : MGR Online / 8 เมษายน 2561
Link : https://mgronline.com/around/detail/9610000034840