สื่อแซทเทอร์เดย์เปเปอร์จากออสเตรเลียเผยแพร่เรื่องที่กองทัพอินโดนีเซียโจมตีทางอากาศใส่จังหวัดอิเรียนจายา หรือปาปัวตะวันตกด้วยระเบิดฟอสฟอรัสขาว เพื่อเป็นการโต้ตอบกรณีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนก่อเหตุสังหารคนทำงานก่อสร้างของรัฐบาลเมื่อต้นเดือนที่่ผ่านมา
นักข่าวต่างประเทศจากสื่อออสเตรเลีย จอห์น มาร์ตินคัส และมาร์ค ดาวิส รายงานถึงสภาพเหยื่อที่มีบาดแผลเหวอะหวะและมีรอยไหม้ขอบแผล รวมถึงสภาพเสื้อผ้าที่ละลายหรือขาดออกจากกัน พวกเขาถูกโจมตีจากอาวุธสงครามของกองทัพอินโดนีเซีย มี 7 รายเสียชีวิตจากการโจมตีนี้และมีคนอีกจำนวนมากที่หนีขึ้นภูเขาไป
รูปถ่ายรอยแผลที่นักข่าวทั้งสองคนได้รับมาเป็นภาพแรกที่แสดงให้เห็นถึงปฏิบัติการของกองทัพอินโดนีเซียในปาปัวตะวันตก อีกรูปภาพหนึ่งเป็นรูประเบิดที่มีปลายหัวสีเหลืองที่มีชาวบ้านเก็บได้ อาวุธบางส่วนดูเหมือนจะเป็นระเบิดฟอสฟอรัสสีขาวที่ถูกห้ามจากกฎหมายระหว่างประเทศ
ฟอสฟอรัสขาวเป็นสารที่ถูกจัดเป็นทั้งอาวุธเชื้อเพลิงและอาวุธเคมี มันสามารถทำให้เกิดการเผาไหม้ผิวหนังและเนื้อลึกไปจนถึงกระดูกได้ รวมถึงไม่สามารถดับการเผาไหม้ของมันได้ วิธีเดียวที่จะช่วยเหลือคนที่ถูกอาวุธนี้คือการแช่ตัวเขาในน้ำและพยายามนำสารฟอสฟอรัสออกจากตัว หลายคนเสียชีวิตจากการเผาไหม้ภายในตัว หลายคนดูดซึมเอาสารฟอสฟอรัสเข้าไปในร่างกายส่งผลให้เกิดภาวะอวัยวะล้มเหลวหลายส่วน
แซทเทอร์เดย์เปเปอร์รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวของกองทัพอินโดนีเซียว่า อาวุธที่ใช้ “ดูเหมือนจะเป็นอาวุธเชื้อเพลิงหรือไม่ก็ฟอสฟอรัสขาว” ขณะที่ทหารอินโดนีเซียนายหนึ่งบอกว่ามันเป็นอาวุธระเบิดแต่มีลักษณะเป็นแก๊สชนิดหนึ่ง
รูปภาพเหยื่อที่มีรอยแผลไหม้ดังกล่าวเป็นรูปภาพที่ถ่ายไว้ในช่วงระหว่างวันที่ 4-15 ธ.ค. ที่ผ่านมาจากเหยื่อหลายรายในหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งกล่าวว่ากองทัพอินโดนีเซียทิ้งระเบิดจากเฮลิคอปเตอร์จนเป็นเหตุให้คนเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีแหล่งข่าวที่เปิดเผยว่ามีการโจมตีด้วยอาวุธปืนใหญ่และกองกำลังภาคพื้นดินด้วย
หลักฐานในเรื่องนี้มีทั้งรูปถ่ายของคนที่มีผ้าเปียกพันแผลเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากการเผาไหม้จากในร่างกายเขาเอง มีภาพผู้หญิงที่อยู่ข้างหลุมศพคนที่ถูกสังหารจากระเบิด นอกจากนี้ชาวบ้านยังเก็บอาวุธส่วนหนึ่งที่ยังไม่ระเบิดเอาไว้ได้ มีหลักฐานอีกส่วนหนึ่งเผยให้เห็นว่าทหารอินโดนีเซียทิ้งอาวุธและกระเป๋าสะพายเอาไว้ทั่วสนามบินอาเบปุระ ในเมืองหลวงจายาปุระของปาปัวตะวันตก ซึ่งเป็นสถานที่ๆ กองทัพใช้จัดขบวนทัพ และภาพเหล่านี้มีการนำเสนอในโทรทัศน์ช่องของรัฐบาลอินโดนีเซีย
แซทเทอร์เดย์เปเปอร์ระบุว่าถึงแม้ว่ากองกำลังทหารเหล่านี้จะทำเหมือนว่าพวกเขากำลังไปรับศพคนก่อสร้าง 31 ราย ที่ถูกสังหารจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ แต่จริงๆ แล้วพวกเขาแสร้งทำเป็นเข้าไปช่วยเหลือเพื่อกลบเกลื่อนปฏิบัติการใช้อาวุธสังหารผู้คนในพื้นที่
กรณีความขัดแย้งในพื้นที่ปาปัวตะวันตกรอบล่าสุดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. เมื่อชาวปาปัวตะวันตกทำการเคลื่อนไหวรำลึกถึงการประกาศอิสรภาพจากเจ้าอาณานิคมชาวดัทช์เมื่อปี 2506 โดยมีการนำธงปาปัวตะวันตกสู่ยอดเสาซึ่งเรื่องนี้สร้างความตึงเครียดต่อทางการกลางอินโดนีเซีย ซึ่งในประวัติศาสตร์อินโดนีเซียได้เข้าไปยึดครองพื้นที่ปาปัวตะวันตกและผนวกรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอินโดนีเซียในปี 2509
ในพิธีชักธงปีนี้ทหารอินโดนีเซียเข้าไปจับกุมผู้คนมากกว่า 500 ราย ที่เข้าร่วมพิธีรำลึกในจายาปุระ และในบรรยากาศตึงเครียดเช่นนี้ก็มีการจัดพิธีชักธงในอีกที่หนึ่งที่หมู่บ้านดูกา แต่ในเหตุการณ์นั้นมีคนทำงานก่อสร้างถนนโครงการของรัฐบาลคนหนึ่งถ่ายภาพและวิดีโอของผู้ชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมกลัวว่าภาพที่เชาถ่ายไว้จะหลายเป็นสิ่งที่จะทำให้พวกเขาถูกจับกุมหลังจากนั้น ชาวปาปัวจึงพากันไล่ล่าตัวผู้ถ่ายภาพไปจนถึงที่พักคนงาน มีคนงาน 24 รายเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น มี 8 รายที่เหลือหลบหนีไปพักพิงอยู่ที่บ้านของนักการเมืองท้องถิ่น ในวันต่อมาก็มีเหตุสังหารคนงานเหล่านี้อีก 7 ราย
สื่อเอบีซีระบุว่าในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมารัฐบาลอินโดนีเซียพยายามลดทอนกลุ่มเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนด้วยการส่งตัวชาวอินโดนีเซียจากพื้นที่อื่นเข้าไปอาศัยและทำโครงการพัฒนา ซึ่งคนงานเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นคนนอกในสายตาของกลุ่มเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนปาปัว
พื้นที่ปาปัวตะวันตกนี้ถูกปิดกั้นจากรัฐบาลอินโดนีเซียไม่ให้สื่อต่างชาติเข้าไปได้ แต่สื่อก็ได้รับข้อมูลเหล่านี้จากชาวบ้านที่ถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์เก็บไว้ได้ นอกจากนี้กลุ่มผู้นำหาหัวตะวันตกก็เรียกร้องให้ต่างชาติแทรกแซงการใช้กำลังของกองทัพอินโดนีเซีย โดยระบุว่ามีการใช้อาวุธที่ถูกห้ามตามหลักกฎหมายนานาชาติ
ทางกระทรวงการต่างประเทศของออสเตรเลียแถลงในเรื่องนี้ว่าพวกเขาทราบเรื่องราวความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ปาปัวตะวันตก รวมถึง “รายงานที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์” ในเรื่องการใช้อาวุธฟอสฟอรัสขาว ทางรัฐบาลแถลงประณามการใช้ความรุนแรงทุกกรณีในปาปัวไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงที่ส่งผลต่อประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ทางการก็ตาม รวมถึงบอกว่าพวกเขาจะเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไปและจะมีปฏิบัติการผ่านทางการทูตกับอินโดนีเซีย
เรียบเรียงจาก
Exclusive: Chemical weapons dropped on Papua, The Saturday Paper, 22-12-2018
https://www.thesaturdaypaper.com.au/2018/12/22/exclusive-chemical-weapons-dropped-papua/15453972007326
Separatist gunmen kill 31 workers in restive Papua region, Indonesian authorities say, 06-12-2018
https://www.abc.net.au/news/2018-12-04/west-papua-separatists-allegedly-kill-workers-indonesia/10582480
—————————————————————
ที่มา : ประชาไท / 23 ธันวาคม 2561
Link : https://prachatai.com/journal/2018/12/80205