ระทึก!โทรศัพท์ลึกลับขู่บึ้มทำเนียบปธน.อาร์เจนฯ หลังชายนิรนามพยามซุกปืนเข้าไปภายใน

Loading

รอยเตอร์ – ทหารอาร์เจนตินาต้องเข้าจัดการกับเหตุการณ์ขู่ระเบิดทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงบัวโนสไอเอสในันจันทร์ (13พ.ค.) ไม่กี่ชั่วโมงหลังชายคนหนึ่งถูกจับกุมฐานพยายามซุกอาวุธปืนเข้าไปในอาคาร  เจ้าหน้าที่ผู้ไม่ประสงค์เอ่ยนามประจำสำนักงานประชาสัมพันธ์ของทำเนียบประธานาธิบดีอาร์เจนตินา เปิดเผยว่าเหตุการณ์นี้เป็นการขู่ทางโทรศัพท์ โดยเสียงในสายนั้นบ่งชี้ว่ามีแผนซุกระเบิดไว้ภายในรถยนต์ กองทัพได้ดำเนินการตามระเบียบการด้านความมั่นคงสำหรับรับมือกับภัยคุกคามลักษณะดังกล่าว และได้ส่งคณะทำงานไปยังคาซา โรซาดา ซึ่งเป็นที่ตั้งของทำเนียบประธานาธิบดีและที่ทำการรัฐบาลแห่งชาติ อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วไม่พบรถยนต์ซุกซ่อนระเบิดและก็ไม่จำเป็นต้องอพยพผู้คนใด ๆ  รอยเตอร์ไม่สามารถยืนยันได้ว่าประธานาธิบดีเมาริซิโอ มาครี อยู่ในคาซา โรซาดา ในตอนที่มีโทรศัพท์ลึกลับเข้ามาข่มขู่หรือไม่ แต่ถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการก่อนหน้านี้ระบุว่าเขาได้พบปะกันนักธุรกิจชายรายหนึ่งที่ทำเนียบประธานาธิบดีในเช้าวันเดียวกัน การขู่ระเบิดนี้มีขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ได้จับกุมชายคนหนึ่งซึ่งพกอาวุธปืนพยายามเข้าไปในทำเนียบปะธานาธิบดี และอ้างว่าจำเป็นต้องพบกับ มาครี ตามคำแถลงอีกอันของทำเนียบประธานาธิบดี ขณะที่เมืองแห่งนี้เคยถูกขู่ระเบิดหลอกๆมาแล้วหลายครั้ง ในนั้นรวมถึงก่อนหน้าการประชุมจี 20 เมื่อปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระบุว่า อาเรียล มูนิซ วัย 36 ปี พยายามเข้าไปในอาคารพร้อมด้วยปืนพกลูกโม่ แม็กนัม เทารัส .44 ซุกอยู่กระเป๋าเอกสารและบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าเขามีนัดหมายกับประธานาธิบดีมาครี หลังจากพวกเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีกำหนดนัดหมายดังกล่าว เขาก็พยายามทิ้งปืนไว้ ทั้งนี้ในถ้อยแถลงบอกว่า มานิซ ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม มาครี ซึ่งก้าวเข้ารับตำแหน่งในปี 2015 จะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัยในเดือนตุลาคม ในศึกเลือกตั้งที่น่าจะเป็นการต่อสู้อย่างเข้มข้น หลังจากเขามีคะแนนนิยมลดต่ำลงในผลสำรวจความคิดเห็นหลายสำนัก ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อและค่าเงินเปโซอ่อนค่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่งเกิดเหตุุโจมตีด้านนอกอาคารรัฐสภาของอาร์เจนตินา ส่งผลให้สมาชิกสภาผู้แทนระดับอาวุโสคนหนึ่งและผู้ช่วยของเขาเสียชีวิต…

ข้อมูลส่วนตัวของประชาชนในสหรัฐฯ กว่า 80 ล้านรายรั่วไหล

Loading

เป็นข่าวพาดหัวไม่เว้นแต่ละวันสำหรับเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล โดยครั้งนี้มีทีมนักวิจัยได้ค้นพบฐานข้อมูลบนคลาวด์ที่ไม่มีระบบป้องกัน ซึ่งภายในบรรจุข้อมูลทั้งข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลทางการเงินของประชาชนในสหรัฐฯ มากกว่า 80 ล้านครัวเรือน เทียบกับที่เคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะคล้ายกันนี้อีก 2 ครั้งก่อนหน้า ที่กระทบกับประชากรกว่า 200 ล้าน และ 82 ล้านรายของอเมริกาเช่นกัน แต่เหตุการณ์ล่าสุดนี้ นักวิจัยจาก vpMentor พบฐานข้อมูลขนาด 24 GB โฮสต์บนเซิร์ฟเวอร์คลาวด์ของไมโครซอฟท์ ข้อมูลดังกล่าวประกอบด้วยจำนวนคนที่อาศัยในบ้านแต่ละหลัง พร้อมชื่อนามสกุลเต็ม, สถานการณ์แต่งงาน, รายได้, อายุ, ที่อยู่, รัฐ, ประเทศ, เมือง, รหัสไปรษณีย์, เพศ, วันเดือนปีเกิด ไปจนถึงตำแหน่งที่ตั้งที่ละเอียดระดับพิกัดละติจูด ลองติจูด vpnMentor ระบุผ่านบล็อกของตัวเองว่า ฐานข้อมูลดังกล่าวถูกค้นพบระหว่างการทำโปรเจ็กต์แผนที่เว็บขนาดใหญ่ของบริษัท แม้กรณีทำนองนี้โดยปกติแล้วนักวิจัยจะสามารถระบุหาต้นตอและเจ้าของฐานข้อมูลได้ง่าย แต่เคสนี้จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนเอามาเปิดเผยบนโลกออนไลน์แบบที่ไม่มีระบบยืนยันตัวตนใดๆ ป้องกันไว้ ——————————————— ที่มา : EnterpriseITPro / 8 พฤษภาคม 2562 Link : https://www.enterpriseitpro.net/sensitive-data-of-80-million-us-households-exposed-online/

ไฟเขียว! สิงคโปร์ผ่านร่างกฎหมายจัดการข่าวปลอม

Loading

สภานิติบัญญัติแห่งชาติสิงคโปร์ มีมติเสียงข้างมาก รับรองร่างกฎหมายเพิ่มอำนาจรัฐบาล จัดการข่าวสารและข้อมูลที่ไม่เป็นจริงบนโลกออนไลน์ วันนี้ (9 พ.ค.62) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติของสิงคโปร์มีมติเสียงข้างมาก ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดี 72 เสียง ต่อ 9 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง ผ่านร่างกฎหมาย เพื่อแก้ไขกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ฉบับปัจจุบัน โดยเสียงสนับสนุนทั้งหมดมาจากพรรคกิจประชาชน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง และเสียงคัดค้านมาจากพรรคแรงงานสิงคโปร์  ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียวในสภาแห่งนี้ สาระสำคัญของร่างกฎหมายรวมถึงการที่รัฐบาลมีอำนาจเต็มในการกำหนดให้เว็บไซต์หรือเพจข่าวออนไลน์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง และแก้ไขข้อมูลข่าวสารที่รัฐบาลพิจารณาแล้วพบว่าผิดหรือไม่เหมาะสม และบังคับผู้ประกอบการเครือข่ายสังคมออนไลน์และบริษัทเทคโนโลยีต้องทำแถบข้อความเตือนไว้ใกล้กับข้อมูลข่าวสารที่รัฐบาลพิจารณาแล้วพบว่าไม่เหมาะสม ขณะที่ ประชาชนผู้รับสารควรเพิ่มการใช้วิจารณญาณในการพิจารณาเนื้อหา นอกจากนี้ หากรัฐบาลพิจารณาข้อมูลข่าวสารใดแล้วถือว่าเป็นเท็จ เว็บไซต์หรือเพจที่นำเสนอรายงานนั้น ต้องลบข้อมูลดังกล่าวออกจากระบบทันที สำหรับบทลงโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี หรือปรับเป็นเงินสูงสุด 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 23.35 ล้านบาท) โดยบทลงโทษครอบคลุมการกระทำผิดที่เป็นการเปิดใช้บัญชี ซึ่งเรียกว่า บอท เพื่อเจตนาเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จด้วย จนถึงขณะนี้ เฟซบุ๊กซึ่งเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ใหญ่ที่สุดของโลก ยังไม่แสดงท่าทีต่อกฎหมายดังกล่าวของสิงคโปร์ ส่วนตัวแทนของบริษัทกูเกิ้ลในสิงคโปร์แสดงความคิดเห็นว่า กฎหมายนี้อาจส่งผลกระทบต่อนโยบายด้านการพัฒนานวัตกรรมของประเทศในระยะยาว ส่วนฮิวแมนไรตส์วอตช์ วิจารณ์ว่าจะยิ่งเป็นการควบคุมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของชาวสิงคโปร์ให้ยิ่งน้อยลงไปอีก…