ตลาดการค้าที่เมืองคาชการ์ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เมื่อ ค.ศ. 1986 (ที่มา: แฟ้มภาพ/Flickr/Urban J. Kinet/UC Berkeley, Department of Geography)
นิวยอร์กไทม์เปิดโปงเอกสารลับ ‘ซินเจียงเปเปอร์ส’ ซึ่งระบุถึงคำสั่งของผู้นำจีนให้ใช้ “กลไกเผด็จการ” กวาดต้อนจับกุมชาวมุสลิมในซินเจียงจำนวนมากเข้าค่ายกักกันปรับทัศนคติ ซึ่งจีนอ้างว่าเป็นเพียง “ศูนย์ฝึกวิชาชีพ” นอกจากนี้เอกสารลับยังระบุถึงแนวทางในการกดดันนักศึกษาที่กลับบ้านเกิดในซินเจียงแล้วสงสัยเรื่องที่ครอบครัว-เพื่อนบ้านหายไปให้เงียบ รวมถึงการปราบปรามเจ้าหน้าที่ผู้ขัดขืนนโยบาย เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่บ่งชี้ว่าค่ายกักกันในซินเจียงมีอยู่จริง
นักศึกษาในประเทศจีนตีตั๋วกลับบ้านในช่วงปิดเทอมเพื่อพักผ่อนหลังการสอบ และหวังจะได้ใช้วันหยุดฤดูร้อนไปกับครอบครัวที่อาศัยอยู่ในทางตะวันตกของจีน แต่ทว่าเมื่อเขากลับไปถึงบ้านก็พบพ่อแม่กับญาติพี่น้องหายไปกันหมด เพื่อนบ้านของเขาทุกคนก็หายไปด้วย เพราะทั้งหมดถูกคุมขังอยู่ในสถานกักกันที่ใช้ควบคุมตัวชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
เมื่อไม่นานนี้ สื่อนิวยอร์กไทม์นำเสนอเอกสารลับที่รั่วไหลของทางการจีนเกี่ยวกับค่ายกักกันชนกลุ่มน้อยในซินเจียงซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอุยกูร์ โดยเอกสารความยาว 403 หน้า ที่ถูกนำมาเปิดโปงนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับคำสั่งชี้แนะของทางการต่อเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นว่าพวกเขาควรจะปฏิบัติอย่างไรกับนักเรียนนักศึกษาที่กลับจากการไปเรียนในเมืองอื่นๆ และบีบให้นักเรียนนักศึกษาเหล่านี้เงียบลงได้อย่างไร โดยเริ่มต้นจากข้อสงสัยที่ผู้เดินทางกลับมาน่าจะสงสัยมากที่สุดคือ ครอบครัวของพวกเขาหายไปไหน
เอกสารดังกล่าวนี้มีความสำคัญในแง่ที่ว่ารัฐบาลจีนพยายามปฏิเสธข้อวิพากษ์วิจารณ์จากประชาคมโลกเสมอมาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในซินเจียงเป็นค่ายกักกัน แต่ทางการจีนอ้างว่าค่ายเหล่านี้เป็น “ศูนย์ฝึกพัฒนาวิชาชีพ” เพื่อต่อต้านแนวคิดหัวรุนแรง อย่างไรก็ตามเอกสารที่รั่วไหลนี้แสดงให้เห็นว่าทางการจีนใช้วีธีในเชิงข่มขู่คุกคามผ่านคำสั่งสู่เจ้าหน้าที่ทางการ
ถึงแม้ว่านักเรียนนักศึกษาที่กลับบ้านเกิดจะรู้สึกกังวลว่าเมื่อพ่อแม่เขาถูกพาตัวไปแล้วใครจะเป็นคนส่งเสียค่าเล่าเรียนของพวกเขา และไร่นาที่บ้านใครจะเป็นคนดูแล แต่เจ้าหน้าที่ทางการกลับถูกสั่งจากรัฐบาลกลางให้บอกผู้คนที่ร้องทุกข์เหล่านี้ว่าขอให้พวกเขาซาบซึ้งในบุญคุณของความช่วยเหลือจากพรรคคอมมิวนิสต์และขอให้พวกเขาเงียบในเรื่องนี้
นิวยอร์กไทม์ระบุว่า เอกสารที่รั่วไหลนี้ชี้ให้เห็นว่าจีนมีกลไกลับๆ ในการดำเนินค่ายกักกันที่กินจำนวนประชากรเป็นวงกว้างที่สุดนับตั้งแต่ยุคสมัยของเหมาเจ๋อตุง
เนื้อหาหลักๆ ในเอกสารเหล่านี้เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เป็นคนที่วางรากฐานในการปราบปรามชาวอุยกูร์ โดยมีคำพูดของเขาที่แนะนำต่อเจ้าหน้าที่หลังจากที่เคยมีเหตุการณ์กลุ่มติดอาวุธอุยกูร์สังหารคนไป 31 คน สีจิ้นผิงกล่าวว่าขอให้มีการ “ต่อสู้กับการก่อการร้าย การแทรกซึม และการแบ่งแยกดินแดน” โดยอาศัย “กลไกของเผด็จการ” และ “ไม่ต้องปราณี”
เนื้อหาอีกส่วนหนึ่งระบุถึงเรื่องที่เมื่อเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายในต่างประเทศรวมถึงการถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานทำให้ผู้นำจีนกังวลและก่อเหตุปราบปรามหนักขึ้น นอกจากนี้ยังอาศัยวาทกรรมคล้ายกับ “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” ในสหรัฐฯ ยุคจอร์จ ดับเบิลยู บุช มาอ้างให้ความชอบธรรมตัวเอง
สำหรับเรื่องการขยายค่ายกักกันในซินเจียงนั้น เอกสารระบุว่ามีการขยายอย่างรวดเร็วขึ้นนับตั้งแต่เดือน สิงหาคม 2559 ที่มีการแต่งตั้งเฉินเฉียนกั๋วเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำพื้นที่ซินเจียง เฉินเป็นคนที่แพร่กระจายคำปราศรัยของสีจิ้นผิงเพื่อให้ความชอบธรรมและกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ทางการ “กวาดต้อนจับกุมทุกคนที่สมควรถูกกวาดต้อน”
ถึงแม้ว่าคำสั่งกวาดต้อนเช่นนี้จะสร้างความกังขาและการต่อต้านจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่เกรงว่าจะทำให้เกิดการสร้างความตึงเครียดทางเชื้อชาติหนักขึ้นและจำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เฉินก็โต้ตอบการต่อต้านด้วยการสั่งกวาดล้างเจ้าหน้าที่ทางการคนใดก็ตามที่สงสัยว่าจะขัดขวางเขา รวมถึงหนึ่งในผู้นำท้องถิ่นที่ถูกจับขังหลังจากที่แอบปล่อยตัวนักโทษหลายพันคนออกจากค่ายกักกัน
นิวยอร์กไทม์ระบุอีกว่าในเอกสารเหล่านี้มีมากกว่า 150 หน้าที่เป็นคำสั่งและรายงานเรื่องการสอดแนมและการควบคุมประชากรชาวอุยกูร์ในซินเจียง นอกจากนี้ยังระบุถึงแผนการขยายการควบคุมศาสนาอิสลามในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศจีนด้วย
ทางการจีนมีการดำเนินการอย่างลับๆ ในกรณีเกี่ยวกับซินเจียงซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีทรัพยากรหนาแน่นมีพรมแดนติดกับปากีสถาน, อัฟกานิสถาน และเอเชียกลาง ซินเจียงมีผู้คนส่วนใหญ่เป็นชนชาติพันธุ์ที่นับถือศาสนาอิสลามจากประชากรทั้งหมด 25 ล้านคน มีจำนวนมากเป็นชาวอุยกูร์ ชนชาติที่พูดภาษาเตอร์กิสและถูกกีดกันเลือกปฏิบัติรวมถึงถูกจำกัดด้านวัฒนธรรมและศาสนาจากทางการมาเป็นเวลานาน เหตุความตึงเครียดทำให้เกิดการจลาจลและการก่อเหตุรุนแรงต่อต้านจีนจนมีผู้เสียชีวิตจากนั้นจีนก็เริ่มปราบปรามชาวอุยกูร์หนักขึ้น
ทางการจีนกวาดต้อนจับกุมผู้คนจำนวนมากในซินเจียงมาตั้งแต่ปี 2560 มีเอกสารลับส่วนหนึ่งจำนวน 24 หน้าที่รั่วไหลแสดงให้เห็นว่าทางการจีนพูดต่อหน้าสื่ออีกอย่างหนึ่งแต่มีปฏิบัติการเบื้องหลังอีกอย่างหนึ่ง เช่น การตอบคำถามนักเรียนกนักศึกษาที่กลับมาแล้วไม่เจอครอบครัวว่า ครอบครัวของพวกเขากำลัง “เข้ารับการบำบัด” จากการรับรู้แนวคิดสุดโต่งของอิสลาม แต่ในเอกสารระบุว่าสมาชิกครอบครัวเหล่านี้ “ถูกจัดการ” ซึ่งเป็นคำที่ทางการจีนมักจะใช้เวลาพูดถึงการลงโทษ
รัฐบาลจีนส่งคนรุ่นเยาว์ชาวอุยกูร์จากซินเจียงไปเรียนในมหาวิทยาลัยตามที่ต่างๆ ของจีนโดยมีเป้าประสงค์เพื่อฝึกคนรุ่นใหม่ชาวอุยกูร์ให้กลายเป็นข้าราชการและครูอาจารย์ที่มีความจงรักภัคดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่เมื่อนักเรียนระดับหัวกะทิเหล่านี้กลับบ้านเกิดแล้วพบว่ามีคนถูกกวาดต้อนจับกุมจำนวนมากก็เกิดความวิตก ทำให้ทางการจีนออกแนวทางคำสั่งให้เจ้าหน้าที่คอยจับตาความคิดเห็นของนักเรียนนักศึกษาเหล่านี้เพราะพวกเขา “มีความผูกพันทางสังคมในวงกว้างในส่วนอื่นๆ ของจีน” และเกรงว่าถ้านักเรียนนักศึกษาเหล่านี้แสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียต่างๆ อาจจะยากต่อการควบคุม
แนวทางการตอบคำถามนักเรียนนักศึกษาเหล่านี้ยังระบุอีกว่า เจ้าหน้าที่ควรตอบว่าญาติๆ ของพวกเขา “ติดไวรัส” อิสลามหัวรุนแรงและควรจะถูก “จำกัดควบคุมโรค” และ “รักษา” ถึงแม้ว่าคนชราที่ไม่มีแรงจะก่อเหตุใดๆ ก็ถูกกวาดต้อนจับกุมไปด้วยก็ตาม นอกจากนี้เอกสารแนวทางของจีนยังระบุอีกว่าควรทำให้นักเรียนนักศึกษาซาบซึ้งในบุญคุณของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ทำให้ญาติของพวกเขาได้มีโอกาส “เรียนรู้วิชาชีพ” ฟรี
นอกจากนี้ทางการจีนยังมีระบบการให้คะแนนนักโทษในค่ายกักกัน โดยจะคอยให้คะแนนเพื่อดูว่าคนไหนจะสามารถปล่อยตัวจากค่ายกักกันได้ และพวกเขายังนำเรื่องนี้มาใช้ขู่นักเรียนนักศึกษาได้ด้วยว่าพฤติกรรมของพวกเขาในชีวิตประจำวันอาจจะส่งผลทำให้ญาติๆ ของพวกเขาถูกตัดคะแนนไปด้วย
นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์และตั้งข้อสังเกตอื่นๆ จากเอกสารลับที่รั่วไหล ไม่ว่าจะเป็นคำกล่าวของสีจิ้นผิงต่อข้าราชการซึ่งสะท้อนให้เห็นทัศนคติต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในซินเจียง ซึ่งสีจิ้นผิงอ้างว่าเป็นการก่อเหตุของกลุ่มคลั่งลัทธิที่ได้รับการส่งเสริมจากกลุ่มแบ่งแแยกดินแดนลึกลับจากต่างชาติและอ้างใช้สิ่งนี้ในการปราบปรามผู้คน ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วชาวอุยกูร์มีการดำเนินพิธีกรรมทางศาสนาในแบบสายกลางถึงแม้ว่าจะเริ่มมีคนที่หันไปสู่สายอนุรักษ์นิยมมากขึ้นและประกอบพิธีทางศาสนาต่อหน้าสาธารณะชนมากขึ้นในช่วงราว 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสีจิ้นผิงอ้างว่าเป็นเพราะพวกเขาจำกัดควบคุมการนับถือศาสนาน้อยเกินไป
ทั้งนี้คำกล่าวของสีจิ้นผิงยังสะท้อนให้เห็นถึงการยึดติดกับความกลัวว่าจะ “ล่มสลาย” แบบกรณีของสหภาพโซเวียต แต่จากการวิเคราะห์ของนิวอยร์กไทม์แล้ว ถึงแม้ว่าจะเคยมีการก่อเหตุรุนแรงเกิดขึ้นในซินเจียง แต่กลุ่มติดอาวุธชาวอุยกูร์ก็ไม่มีอำนาจมากพอจะแย่งการควบคุมไปจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ อีกทั้งสีจิ้นผิงยังอ้างเรื่องความวุ่นวายในซีเรียและอัฟกานิสถานมาอธิบายถึงแม้ว่าจะอยู่นอกเหนือบริบทของประเทศตัวเอง
อีกหนึ่งในบุคคลที่มีส่วนในการกวาดต้อนผู้คนนับล้านคนเข้าค่ายกักกันในซินเจียงคือเฉินเฉียนกั๋ว ในเอกสารคำสั่งปี 2560 เขาได้ออกคำสั่งด้วยวลีซ้ำๆ ว่า “กวาดต้อนจับกุมทุกคนที่สมควรถูกกวาดต้อน” โดยที่ไม่มีการระบุถึงกระบวนการยุติธรรมใดๆ เลย แต่เป็นการสั่งให้จับกุมคุมขังใครก็ตามที่ดูจะมี “อาการ” ของแนวคิดทางศาสนาแบบหัวรุนแรงหรือมีแนวคิดต่อต้านรัฐบาล โดย “อาการ” ที่ทางการระบุถึงนี้ หมายรวมถึงพฤติกรรมทั่วไปเช่น การไว้เครายาว, การเลิกดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่, การศึกษาภาษาอาหรับและละหมาดนอกมัสยิด
อีกกรณีหนึ่งที่มีการเปิดโปงในเอกสารลับเหล่านี้คือการกำจัดข้าราชการที่ถูกมองเป็นเสี้ยนหนามของรัฐบาลกลางและพยามให้ความช่วยเหลือชาวอุยกูร์ มีการระบุถึงกรณีของ หวังหย่งจื่อ ข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางการจีนเพราะมองว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์และความชำนาญที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในซินเจียง แต่ทว่าทางการจีนก็ส่งต่อเอกสารการสารภาพผิด 15 หน้าเชื่อว่าถูกสั่งให้เขียนภายใต้การถูกข่มขู่บีบคั้นจากทางการ และการส่งต่อเอกสารนี้ไปตามหมู่เหล่าข้าราชการต่างๆ น่าจะเป็นไปเพื่อข่มขวัญไม่ให้ข้าราชการอื่นๆ คิดจะทำการที่ถูกมองว่าต่อต้านพรรค
ในเรื่องการดำเนินการของหวังหย่งจื่อ ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่มกำลังความมั่นคงในพื้นที่ขัดแย้ง แต่ก็พยายามผลักดันการพัฒนาทางเศรษฐกิจในพื้นที่ไปด้วยเพื่อลดความไม่พอใจของกลุ่มคนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังผ่อนปรนนโยบายการควบคุมศาสนาจากทางการ เช่น ประกาศว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดถ้าจะมีคัมภีร์อัลกุรอานที่บ้านและขอให้เจ้าหน้าที่ทางการทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมประเพณีของชาวอุยกูร์ให้มากขึ้น
ในช่วงแรกๆ ที่ทางการเริ่มปฏิบัติการกวาดต้อนจับกุมครั้งใหญ่ หวังก็เป็นหนึ่งในคนที่แสดงออกภายนอกในทำนองเล่นตามเกมของรัฐบาลโดยประกาศว่าจะกำจัดการก่อการร้ายแบบ “ถอนรากถอนโคน” แต่พฤติกรรมของเขาที่ไม่ได้แสดงออกภายนอกต่างกันออกไป เขาบอกว่าเขากลัวว่าการปราบปรามอย่างหนักจะกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้กลับในพื้นที่ๆ เสี่ยงต่อความรุนแรง และคำสั่งกวาดต้อนจากทางการกลางจะกลายเป็นพิษต่อความสัมพันธ์กับกลุ่มชนพื้นเมือง นอกจากนี้การกวาดต้อนจับคนจำนวนมากยังทำให้การพัฒนาทางเศรษฐกิจเกิดปัญหาด้วย
ทั้งนี้หวังยังเขียนวิพากษ์วิจารณ์การที่ทางการกดดันให้มีการจับกุมผู้คนในซินเจียงว่าเป็นการที่กลุ่มผู้นำระดับสูงขาดความเข้าใจความเป็นจริงในภาคพื้นดินทำให้แก้ไขปัญหาในแบบที่ “ทะเยอทะยานเกินไปและไม่ตั้งอยู่บนหลักความจริง” นอกจากหวังแล้วยังมีเจ้าหน้าที่รายอื่นๆ อีกจำนวนมากที่ถูกลงโทษเพราะขัดขืนคำสั่งไม่ยอมปราบปรามชาวอุยกูร์ แต่หวังเป็นคนที่ขัดขืนมากเป็นพิเศษด้วยการแอบปล่อยตัวผู้ต้องขังในค่ายกักกันมากกว่า 7,000 คน ทำให้เขาถูกปลดประจำการและถูกลงโทษในที่สุด
ก่อนหน้ากรณีซินเจียงเปเปอร์สในครั้งนี้ กรณีค่ายกักกันในซินเจียงเป็นสิ่งที่มีการเปิดโปงจากการศึกษาภาพถ่ายดาวเทียมของนักศึกษาจีนในต่างประเทศ และต่อมาก็มีการพูดถึงในรายงานของสหประชาชาติที่ระบุว่ามีผู้ถูกคุมขังในค่ายกักกันอย่างน้อย 1 ล้านราย แต่ก็ยังมีรัฐบาลอำนาจนิยมบางส่วนที่เป็นมิตรกับจีนสนับสนุนให้มีการปราบปรามชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในซินเจียงแม้กระทั่งผู้นำประเทศมุสลิมอย่างซาอุดิอาระเบีย
ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าฟ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมแห่งซาอุดิอาระเบีย เคยกล่าวสนับสนุนทางการจีนว่า “มีสิทธิที่จะดำเนินการต่อต้านการก่อการร้ายและลดความเป็นหัวรุนแรงเพื่อความมั่นคงในประเทศตัวเอง” ขณะที่อิมราน ข่าน นายกรัฐมนตรีปากีสถานซึ่งเป็นประเทศอิสลามอีกประเทศหนึ่งกล่าวว่าเขา “ไม่รู้” เรื่องเกี่ยวกับสภาพของชาวอุยกูร์มากนัก
—————————————————–
ที่มา : ประชาไท / 18 พฤศจิกายน 2562
Link : https://prachatai.com/journal/2019/11/85208?utm_source=grf-eng&utm_medium=partner&utm_campaign=giraff.io