ระทึก! บึ้มในสวนใกล้ทำเนียบปธน.อินโดฯ ทหารเจ็บ 2 สถานทูตไทยเตือนเลี่ยงพื้นที่

Loading

เจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียระบุว่า เกิดเหตุระเบิดควันระเบิดในสวนสาธารณะใกล้กับทำเนียบประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ 2 นาย กาโตต์ เอ็ดดี ปราโมโน เจ้าหน้าที่ตำรวจจาการ์ตา ระบุว่า ระเบิดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ที่สวนสาธารณะอนุสาวรีย์แห่งชาติ โดยเกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ทหารพบระเบิดควันวางอยู่ในสวนและเกิดระเบิดขึ้นขณะที่กำลังจะเก็บระเบิดขึ้นมา ปราโมโนระบุว่า ทหาร 2 นาย ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแต่มีอาการคงที่ ปราโมโนระบุด้วยว่า กำลังมีการสืบสวนเหตุระเบิดดังกล่าว ซึ่งรวมไปถึงความเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่จะบังเอิญทำหล่นเอาไว้เนื่องจากเวลานี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารหลายพันนายลงพื้นที่กรุงจาการ์ตา เพื่อรักษาความปลอดภัยการเดินขบวนของกลุ่มมุสลิมอนุรักษนิยมที่จัดขึ้นใกล้กับสวนสาธารณะดังกล่าว ด้านสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา ระบุว่า เกิดเหตุระเบิดบริเวณอนุสาวรีย์แห่งชาติ ในกรุงจาการ์ตา ยังไม่มีรายงานคนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา โพสข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า ด้วยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2562 เวลา 07.00 น. ได้เกิดเหตุระเบิดบริเวณอนุสาวรีย์แห่งชาติ (Monas) ในกรุงจาการ์ตา ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 2 ราย ในเบื้องต้นยังไม่มีรายงานคนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว…

อียูเริ่มตรวจสอบวิธีเก็บข้อมูลผู้ใช้ของ ‘กูเกิล’ เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่?

Loading

FILE – Google CEO Sundar Pichai (R) and Philipp Justus, Google Vice President for Central Europe and the German-speaking Countries, attend the opening of the new Alphabet’s Google Berlin office in Berlin, Germany, Jan. 22, 2019. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คณะกรรมการต่อต้านการผูกขาดของสหภาพยุโรปกำลังตรวจสอบวิธีจัดเก็บข้อมูลของบริษัทเทคโนโลยีกูเกิล ว่าขัดกับกฎหมายของอียูหรือไม่ โดยการตรวจสอบดังกล่าวจะมุ่งไปในประเด็นที่ว่า กูเกิลจัดเก็บข้อมูลอย่างไรและทำไมจึงต้องเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ ผู้ตรวจสอบของอียูกล่าวกับรอยเตอร์ว่า ในเบื้องต้นได้มีการส่งแบบสอบถามไปยังกูเกิลแล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสอบสวนเกี่ยวกับข้อมูลการค้นหาต่าง ๆ ที่กูเกิลจัดเก็บไว้ รวมถึงการโฆษณาออนไลน์ การเจาะกลุ่มเป้าหมาย การท่องเว็บไซต์ และพฤติกรรมอื่น ๆ ของผู้ใช้กูเกิล ในช่วงสองปีที่ผ่านมา คณะกรรมการสนับสนุนการแข่งขันอย่างเท่าเทียมในสหภาพยุโรป ได้สั่งปรับเงินกูเกิลไปแล้วกว่า…

กองทัพสหรัฐฯอาจประจำการ “นักรบไซบอร์ก” ภายในปี 2050

Loading

กองบัญชาการพัฒนาความสามารถในการรบ (CCDC) ของกองทัพสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานฉบับหนึ่งที่ระบุว่า เทคโนโลยีล่าสุดที่ช่วยเสริมสมรรถนะการมองเห็น การได้ยิน และการใช้กล้ามเนื้อให้กับทหารอเมริกันนั้น จะพร้อมนำมาใช้งานได้ภายในปี 2050 และจะทำให้แผนประจำการ “นักรบไซบอร์ก” ในกองทัพ มีความเป็นไปได้สูงในอนาคตอันใกล้นี้ รายงานดังกล่าวมีชื่อว่า “ทหารไซบอร์ก 2050: การผสมผสานมนุษย์กับเครื่องจักร และผลกระทบต่ออนาคตของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ” ได้ระบุถึงความสามารถทางเทคโนโลยีชีวภาพ 4 ด้าน ที่ผ่านการประเมินแล้วว่าน่าจะพร้อมใช้งานกับทหารที่เป็นมนุษย์ได้ ภายใน 30 ปีข้างหน้า ซึ่งได้แก่การเสริมสมรรถนะดวงตา หู กล้ามเนื้อ และสมอง ทีมนักวิจัยผู้จัดทำรายงานดังกล่าวระบุว่า การสร้างนักรบไซบอร์กที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมประสิทธิภาพของระบบประสาทในสมองโดยตรง จะนำไปสู่การปฏิวัติกลยุทธ์ดำเนินแผนการรบสมัยใหม่อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ดวงตาของนักรบไซบอร์กจะสามารถมองเห็นและประกอบสร้างภาพได้ชัดเจนขึ้น ช่วยให้การระแวดระวังภัยและการรับรู้สถานการณ์รอบข้างดีขึ้น หูไซบอร์กช่วยให้การสื่อสารและระบบคุ้มกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเทคนิคพันธุศาสตร์เชิงแสง (Optogenetics) ซึ่งใช้หลักพันธุวิศวกรรมทำให้โมเลกุลไวแสงเข้าควบคุมกิจกรรมภายในเซลล์นั้น จะช่วยวางโปรแกรมควบคุมและฟื้นฟูกล้ามเนื้อของนักรบไซบอร์ก ผ่านการสวมชุดบอดี้สูทแนบเนื้อที่มีตาข่ายเซนเซอร์แทรกอยู่ทั่วตัวด้วย “เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้การสื่อสารและโอนถ่ายข้อมูลระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร รวมทั้งการสื่อสารทางสมองโดยตรงระหว่างมนุษย์กับมนุษย์เป็นไปได้ ทหารไซบอร์กยังสามารถสื่อสารกับพาหนะไร้คนขับและบังคับระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ได้โดยตรง ซึ่งจะทำให้การบัญชาการและปฏิบัติการรบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” รายงานล่าสุดระบุ นอกจากเทคโนโลยีด้านการทหารแล้ว รายงานข้างต้นยังชี้ว่า การใช้งานไซบอร์กจะแพร่หลายในสังคมพลเรือนภายในช่วง 30 ปีข้างหน้าด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานด้านสุขภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง…

ออสเตรเลียตั้งหน่วยเฉพาะกิจต่อต้านจารกรรม หลังถูก ‘จีน’ สอดแนม

Loading

เอเอฟพี – ออสเตรเลียประกาศตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจระดับสูงเพื่อต่อต้านการจารกรรมวันนี้ (2 ธ.ค.) หลังพบความพยายามของจีนในการสอดแนมเพื่อแทรกแซงกิจการภายในของแดนจิงโจ้ นายกรัฐมนตรี สก็อตต์ มอร์ริสัน ระบุว่า คณะทำงานพิเศษที่ตั้งขึ้นนี้จะเป็นการประสานงานระหว่างหน่วยข่าวกรองต่างๆ ของออสเตรเลีย “เพื่อสกัดกั้นและป้องปรามใครก็ตามที่จ้องจะบ่อนทำลายผลประโยชน์ของชาติเรา” ทั้งนี้ หน่วยข่าวกรองซึ่งโดยปกติแล้วจะกระทำภารกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภัยคุกคามต่างชาติเท่านั้น ได้รับมอบหมายให้ประสานงานกับตำรวจส่วนกลางเพื่อระบุตัวตนและดำเนินคดีหรือเนรเทศสายลับต่างชาติ ผู้นำออสเตรเลียไม่ได้กล่าวพาดพิงจีนตรงๆ โดยระบุเพียงว่า “การแทรกแซงจากต่างชาตินั้นมาจากหลายแหล่ง” และ “เป็นภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเรื่อยๆ” ประกาศจัดตั้งคณะทำงานพิเศษมีขึ้นหลังทางการออสซี่ออกมาระบุว่ากำลังตรวจสอบข้อมูลข่าวกรองจาก หวัง หลี่เฉียง (Wang Liqiang) อดีตสายลับจีนแปรพักตร์ซึ่งได้ยื่นเรื่องขอลี้ภัยต่อแคนเบอร์รา หลี่ หนีไปขอลี้ภัยในออสเตรเลียพร้อมข้อมูลข่าวกรองจำนวนมากเกี่ยวกับปฏิบัติการแทรกแซงการเมืองในฮ่องกง ไต้หวัน และแดนจิงโจ้ ขณะที่จีนออกข่าวว่าชายคนนี้เป็นแค่นักต้มตุ๋นและนักโทษหลบหนี ก่อนหน้านี้ ดันแคน ลูอิส ประธานหน่วยข่าวกรองความมั่นคงออสเตรเลียที่เพิ่งเกษียณอายุ ก็ออกมาแฉข้อมูลว่าจีนนั้นมีแผนที่จะ “เทคโอเวอร์” การเมืองออสเตรเลีย โดยใช้ปฏิบัติการสอดแนมและแทรกแซงอย่างเป็นระบบ ทางการออสซี่ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบเรื่องที่จีนพยายามว่าจ้างนักธุรกิจชาวเมลเบิร์นคนหนึ่งให้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาออสเตรเลีย โบ “นิค” จ้าว (Bo ‘Nick’ Zhao) ผู้แทนจำหน่ายรถหรูวัย 32 ปี ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคลิเบอรัลของมอร์ริสัน ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวของสายลับจีน ก่อนจะถูกพบเป็นศพอยู่ในโรงแรมเมื่อเดือน มี.ค. ปักกิ่งออกมาตอบโต้ข้อครหาเหล่านี้ว่าเป็นแค่ “เรื่องโกหก”…

ไทยตกเป็นเหยื่อโจมตีทางไซเบอร์ ฉกข้อมูลบัตรเครดิตขายตลาดมืด

Loading

บริษัทซอฟท์แวร์ด้านการปกป้องข้อมูลจากการโจมตีทางไซเบอร์ เตือนธุรกิจโรงแรมและการบริการทั่วโลกกว่า 20 แห่ง รวมทั้งในไทย ตกเป็นเป้าการโจมตีของมัลแวร์ เพื่อล้วงข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้าไปขายในตลาดมืด บริษัทซอฟท์แวร์ชื่อดัง แคสเปอร์สกี้ ตรวจพบการโจมตีทางไซเบอร์จากกลุ่มแฮกเกอร์ที่เรียกตัวเองว่า RevengeHotels ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจโรงแรมและการบริการ จนถึงขณะนี้มีโรงแรม 20 แห่งจากทั่วโลกในบราซิล อาร์เจนตินา โบลิเวีย ชิลี คอสตาริกา ฝรั่งเศส อิตาลี เม็กซิโก โปรตุเกส สเปน ตุรกี รวมทั้งในไทยตกเป็นเหยื่อ และคาดว่าตัวเลขโรงแรมที่ถูกโจมตีจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากบางแห่งได้รับลิงค์ข้อมูลที่มีไวรัสแล้ว ดิมิทรี เบสตูเชฟ หัวหน้าทีมวิเคราะห์และวิจัยประจำภูมิภาคละตินอเมริกาของแคสเปอร์สกี้ เผยว่า “ในขณะที่ผู้ใช้กังวลว่าจะปกป้องข้อมูลของตัวเองอย่างไร คนร้ายก็พุ่งเป้าไปที่ธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งปกป้องตัวเองจากการโจมตีทางไซเบอร์ไม่มากพอ ทั้งยังมีข้อมูลส่วนตัวมากมาย ธุรกิจการโรงแรมและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องเก็บข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าต้องเพิ่มความระมัดระวังและติดตั้งโซลูชั่นระดับมืออาชีพเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลที่จะกระทบกับทั้งลูกค้าและชื่อเสียงของโรงแรม” นอกจากนี้ แคสเปอร์สกี้ยังระบุอีกว่า กลุ่ม RevengeHotels เริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่ปี 2015 และเริ่มพบการเคลื่อนไหวมากขึ้นในช่วงปีนี้ โดยเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มแฮกเกอร์อย่างน้อย 2 กลุ่มคือ Revenge Hotels และ ProCC ที่มีเป้าหมายโจมตีธุรกิจในภาคบริการและการท่องเที่ยวเป็นหลัก เพื่อล้วงข้อมูลบัตรเครดิตที่โรงแรมเก็บไว้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ รวมทั้งข้อมูลที่ได้จากตัวแทนท่องเที่ยวออนไลน์ มัลแวร์ที่กลุ่ม…