เขียนโดย : Talil
เมื่อไม่กี่วันมานี้ Apple ได้มีการประกาศสั่งบล็อกแอปฯ ‘Clearview AI’ เทคโนโลยีจดจำใบหน้า เพราะละเมิดกฎโปรแกรมซอฟต์แวร์ของบริษัท โดย Clearview AI ที่ให้บริการแอปฯ เฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย รวมถึงองค์กรบางรายเท่านั้น เช่น Macy’s, Walmart และ Wells Fargo ได้ใช้ใบรับรองระดับองค์กรทำให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ได้โดยไม่ผ่าน App Store โดยทำผิดกฎของ Apple ที่จำกัดให้ผู้ใช้เข้าถึงซอฟต์แวร์เฉพาะบุคคลภายในองค์กรที่กำหนดเท่านั้น
ขณะที่ปกติแล้วเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าขั้นสูงของ Clearview AI ผู้ใช้ iPhone ทั่วไปจะเข้าถึงไม่ได้ แต่ลองนึกภาพว่าเราเดินอยู่ในที่สาธารณะ และมีคนแปลกหน้าเดินสวนกับคุณ จนกระทั่งเขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปคุณ ก่อนจะอัพโหลดรูปนั้นลงในแอปฯ เพื่อให้แมตช์กับฐานข้อมูล จนสามารถพบข้อมูลของคุณบนสื่อโซเชียลมีเดีย พบแอคเคาท์ Facebook , instagram หรืออื่นๆ จากนั้นตามด้วยชื่อจริง ที่อยู่ ซึ่งหลังจากนั้นมันจะเป็นอย่างไรต่อ ? แน่นอนว่ามันคือหายนะ เพราะนั่นอาจหมายถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง
“เพื่อความปลอดภัย” หรือ “รุกล้ำความเป็นส่วนตัว”
สำหรับ ‘Clearview AI’ เป็นเทคโนโลยีจดจำใบหน้าที่ถูกพัฒนาโดยบริษัทสตาร์ทอัพเล็กๆ ในสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งโดย “ฮอน ทอน-แทต” หนุ่มหน้าตาดี อดีตนายแบบเชื้อสายเวียดนาม ซึ่งได้รับเงินทุนจากอภิมหาเศรษฐีคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
โดยจุดประสงค์หลักของ ‘Clearview AI’ คือให้บริการแก่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อใช้ติดตามใบหน้าของอาชญากรรม โดยมีฐานข้อมูลรูปภาพกว่า 3,000 รูป ที่มีการก็อปปี้มาจากสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, IG, Twitter, หรือ Venmo ปัจจุบันมีหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายกว่า 600 หน่วยงานที่ใช้เทคโนโลยีนี้รวมถึง Federal Bureau of In vestigation หรือ “FBI”
จนกระทั่งสื่อ New York Time ได้ตีแผ่เรื่องราวของ Clearview AI และให้สมญานามว่าเป็น “จุดจบของความเป็นส่วนตัว” ทำให้เริ่มมีการออกมารณรงค์และเรียกร้องจากหลายฝ่าย ให้ร่างกฎหมายควบคุมการพัฒนาและจำกัดการใช้งาน เพราะเทคโนโลยีนี้หากมีการใช้อย่างแพร่หลาย ผู้คนทั่วไปจะไม่มีคำว่าเป็นส่วนตัวอีกต่อไป
ซึ่งหากเปรียบเทียบกันเรื่องฐานข้อมูลแล้วกับองค์กรอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หรือ บริษัทเอกชนด้านการตลาดใดๆ ก็แทบจะเทียบกันไม่ได้ เพราะขณะที่ FBI เองนั้นมีภาพอยู่ในฐานข้อมูลเพียงแค่ 411 ล้านรูปเท่านั้น ซึ่งทุกรายล้วนเป็นผู้มีคดีติดตัวหรือเป็นบุคคลสำคัญ แต่ขณะที่ Clearview AI กลับรวบรวมรูปภาพของประชาชนทั่วโลกจากสื่อโซเชียลมีเดียได้ถึง 3,000 ล้านกว่าคนนั่นถือเป็นความแตกต่างที่มองข้ามไม่ได้จริงๆ
โดยตามรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศ หลังจากมีการประกาศของ Apple ออกมา ด้านฮอน ทอน-แทต ประธานบริหารบริษัทที่พัฒนา Clearview AI ก็ได้ออกหนังสือเพื่อชี้แจงกับ Apple เรื่องการปฏิบัติตามข้อกำหนดให้เป็นไปตามเงื่อนไขดังเดิม
อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าด้วย AI หรือ “Facial recognition” สามารถเป็นเทคโนโลยีที่ทรงพลังในการใช้บนเส้นทางของผู้บังคับใช้กฎหมาย แต่กลับกันเมื่อมันถูกใช้โดยบุคคลทั่วไป พลังของมันก็ก่อให้เกิดการละเมิดความเป็นส่วนตัว ซึ่งถ้ามีการจำกัดการใช้งานที่ถูกวิธีก็สามารถเป็นเครื่องมือสร้างความปลอดภัยของประชาชนได้ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือที่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของประชาชนเสียเอง
——————————-
ที่มา : Thaiware / 2 มีนาคม 2563
Link : https://m.thaiware.com/news/18118.html