โดย…ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์
นักภูมิรัฐศาสตร์ฝรั่งสมัยก่อนกล่าวว่า “ใครคุมใจกลาง (Heartland) ของแผ่นดินได้ คนนั้นครองโลก” ซึ่งเรียกกันว่า “ทฤษฎีฮาร์ตแลนด์ กับริมแลนด์” ต่อมา มีนักภูมิรัฐศาสตร์ฝรั่งเช่นกันมองกลับกันว่า “ผู้ที่คุมชายขอบแผ่นดิน (Rimland) ต่างหาก ที่จะครองโลก”
นักภูมิรัฐศาสตร์ฝรั่งขณะนั้นมองแผ่นดินยุโรปก็คือโลก ใครครองแผ่นดินใหญ่ยุโรปได้ ก็เท่ากับครองโลกนั่นเอง โรมเคยเป็นศูนย์กลางโลกที่ขยายอาณาเขตยึดครองยุโรปได้ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก สมัยฮิตเลอร์ก็เคยยึดยุโรปได้เกือบทั้งหมด
ส่วนนักภูมิรัฐศาสตร์ฝรั่งที่กล่าวไว้ในเวลาต่อมาว่า ใครคุมชายขอบของแผ่นดินได้ก็เท่ากับครองโลก นักคิดกลุ่มนี้ก็ไม่ผิดเหมือนกัน ซึ่งต่อมา อัลเฟรด เทเยอร์ มาฮาน ได้กล่าวไว้ว่า “ใครคุมทะเลได้ก็เท่ากับครองโลก” ประเทศที่ติดทะเลเช่น สเปน โปรตุเกส อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา มีกองเรือขนาดใหญ่ออกไปสำรวจดินแดนใหม่ ค้าขายต่างประเทศ และมีอาณานิคมซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญมากมาย
เมื่ออเมริกาถือผงาดขึ้นในขณะที่ชาติมหาอำนาจทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ง่อยเปลี้ยลง คริสต์ศตวรรษที่ 20 จึงเป็นศตวรรษของอเมริกาแต่ผู้เดียว ศูนย์กลางของโลกมารวมศูนย์อยู่ที่สหรัฐที่เป็นทั้งฮาร์ตแลนด์และริมแลนด์ คุมสองฝั่งมหาสมุทรโดยเวลานี้ให้น้ำหนักมากที่ “ทรานส์แปซิฟิค” มากกว่า ทรานส์แอตแลนติค” เช่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
สมัยสงครามเย็น ใครครองโลกเขาจะวัดกันด้วยพลังทางการทหาร ใครมีอาวุธนิวเคลียร์ จรวดติดหัวรบนิวเคลียร์ ใครครองอวกาศได้มากน้อยกว่ากัน หลังสงครามเย็นเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ โลกยุคนี้วัดกันด้วยพลังทางเศรษฐกิจ จึงเกิด “สงครามเศรษฐกิจ” และ “สงครามการค้า” เป็นครั้งคราว ประเทศไหนมีพลังอำนาจมากก็เป็นผู้ “จัดระเบียบโลก” แต่บางครั้งบางคราวธรรมชาติก็มาช่วยจัดระเบียบโลกให้กับมนุษย์ด้วย เช่น ครั้งนี้เป็นต้น
จากที่รู้กันว่าโลกกลม แต่โลกในยุคโลกาภิวัฒน์ถูกฝรั่งอุปมาอุปมัยว่าเป็นโลกแบน ที่การค้าเสรีทำให้ทุกคนในโลกเท่าเทียมกันหมด ทุกคนเห็นกันหมด โลกแบนสงครามข่าวสารเป็นการต่อสู้กันด้วยข่าวสาร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการโดยใช้ความได้เปรียบหรือความเหนือกว่าด้านข้อมูลข่าวสารเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย กระทำต่อฝ่ายตรงข้ามในทุกสนามรบทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการทหาร
สงครามข่าวสารไม่มีแนวรบแน่นอน เส้นพรมแดนไม่ชัดเจน บนทางด่วนข่าวสารที่เสรี ลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก และทำได้ง่ายทั้งในยามสันติและยามสงครามเป็นการปฏิวัติข่าวสารและเครื่องมือสื่อสารกันครั้งใหญ่ สู้กันบนพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ แย่งชิงพื้นที่ข่าว เข้าถึงจิตใจกลุ่มเป้าหมายในทุกมิติ จูงใจให้เกิดทัศนคติและพฤติกรรมที่ต้องการได้
สงครามข่าวสารระดับระหว่างประเทศปัจจุบันนี้ เกี่ยวพันกับไข้หวัดโควิด 19 ที่เริ่มจากเมืองอู่ฮั่นในจีนและแพร่กระจายไปทั่วโลกในปัจจุบัน หลังจากที่จีนสามารถจัดการการแพร่ระบาดจนอยู่ในสภาวะที่ควบคุมได้
จีนได้เริ่มเผยแพร่ข้อมูลสู่ประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณสองเดือนที่ผ่านมา โดยตั้งข้อสงสัยว่า เชื้อโรคร้ายตัวนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และเปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า จีนได้พบอุปกรณ์เกี่ยวกับเชื้อตัวฝังอยู่ในบริเวณสถานกงสุลสหรัฐในเมืองอู่ฮั่น หลังจากที่สหรัฐอพยพเจ้าหน้าที่อเมริกันทั้งหมดในสถานกงสุลกลับสหรัฐโดยเครื่องบินพิเศษ ต่อมา จีนได้เปิดเผยข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับเชื้อไวรัสตัวนี้ ที่แพทย์จีนพบว่า ไม่ใช่เป็นเชื้อไข้ตามธรรมชาติ แต่มีการตัดแต่งพันธุกรรม 4 จุดด้วยกันซึ่งเป็นฝีมือของมนุษย์ แต่ยังไม่ได้ระบุว่าเป็นฝีมืออเมริกัน เพียงแต่ทำให้ผู้รับสารเข้าใจได้ว่าเป็นฝีมือของอเมริกันแน่ๆ
ล่าสุด จีนเปิดเผยข้อมูลยืนยันว่า สหรัฐเป็นผู้ปล่อยเชื้อดังกล่าวโดยวางแผนปล่อยผ่านนักกีฬาอเมริกันกลุ่มหนึ่ง จะโดยนักกีฬารู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเข้าร่วมแข่งกีฬาทหารโลกจัดโดยกองทัพจีนที่ปักกิ่ง ปรากฏว่า นักกีฬาจำนวนดังกล่าวติดเชื้อ จนทางการสหรัฐต้องรับตัวกลับก่อน จากนั้นเชื้อนี้ก็ระบาดในจีน นี่คือคำกล่าวหาของจีนโดยอ้างเหตุผลว่า เพราะสหรัฐต้องการหยุดยั้งความเจริญก้าวหน้าพัฒนาของจีนในด้านต่างๆ ซึ่งอาจแซงอเมริกาได้ในไม่ช้า และจะเป็นตัวอย่างให้ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายชื่นชมและถือแนวทางของจีนเป็นแบบอย่างในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาความยากจน จึงพยายามชะลอความก้าวหน้าของจีน สรุปว่า เชื้อดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และเป็น “สงครามเชื้อโรค” ที่ก่อให้เกิดขึ้นโดยมนุษย์และมนุษย์ผู้นั้นก็คือ อเมริกัน นั่นเอง
อย่างไรก็ดี มีหลายคำถามที่ตั้งขึ้นว่า หากสหรัฐเป็นคนทำจริง ทำไมเวลานี้คนอเมริกันจึงติดเชื้อเป็นหลายหมื่นและอาจถึงแสนคน ตายไปแล้วเป็นพันคน เมืองนิวยอร์คที่ไม่เคยนอนหลังกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว เศรษฐกิจอเมริกันเสียหายไปด้วย แต่บางคนก็บอกว่า อเมริกันมุ่งทำร้ายจีนมากเกินไปจนลืมระวังตนเอง บางคนบอกว่าการที่คนอเมริกันโดนด้วยจะได้เป็นข้ออ้างได้ว่า อเมริกันไม่ได้ทำ แม้แต่อเมริกันยังโดน สุดท้ายก็ยังหาข้อยุติไม่ได้
ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ปล่อยโอกาสอันดีนี้ โดยเรียกไวรัสโควิด 19 ว่าเป็น “ไวรัสจีน” ไปซะเลย เท่ากับเป็นการซ้ำเติมจีนชนิดที่ใครก็ว่าทรัมป์ไม่ได้ เพราะไวรัสนี้เกิดขึ้นในจีน ทำให้จีนไม่พอใจอย่างยิ่ง
ไม่มีใครรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร กับคำกล่าวหาของจีนที่ว่าเชื้อนี้ไม่ได้เกิดโดยธรรมชาติ แต่มีการตัดต่อพันธุกรรมรวม 4 แห่งโดยฝีมือมนุษย์ หรือที่จีนกล่าวหาตรงๆ ว่า อเมริกันวางแผนเอาเชื้อนี้ไปแพร่ในจีนเพื่อชะลอความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน แต่อย่างน้อยที่พอจะบอกได้ก็คือ “นี่คือสงครามข่าวสารระหว่างจีนกับอเมริกัน” ครั้งล่าสุด
ผู้เขียนเองก็ไม่รู้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ได้แต่ติดตามข่าวผ่านสื่อออนไลน์เท่านั้น แต่ที่มีข่าวยืนยันได้อย่างหนึ่งก็คือ เมื่อกลางปี 2562 ฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐได้ประชุมกัน และมีการประเมินสถานการณ์ส่วนหนึ่งว่า “มีความเป็นไปได้สูงที่จีนจะเผชิญกับโรคระบาดร้ายแรง”
ที่น่าสนใจคือ ไม่ทราบว่ามีสิ่งบอกเหตุใดทำให้ฝ่ายความมั่นคงประเมินเช่นนี้หรือฝ่ายความมั่นคงได้ข่าวอะไรมา หรืออเมริการู้ก่อนเพราะจะทำเสียเอง หากมองในแง่ดี เจ้าหน้าที่อาจตั้งสมมติฐานและความเป็นไปได้หลายๆ ด้าน และจะดูซิว่าเครื่องจำลองเหตุการณ์จะให้คำตอบอย่างไรต่อคำถามที่ป้อนเข้าไป เช่น หากแนวโน้มเป็นจริง คนจีนจะล้มตายเท่าใด เศรษฐกิจจีนจะเสียหายมากน้อยเพียงใดใช้เวลาเท่าไรที่จะฟื้นตัว สหรัฐจะป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายมายังสหรัฐได้อย่างไร หากแพร่กระจายมายังสหรัฐฯ จะมีมาตรการแก้ไขอย่างไร
เหมือนกับเป็นการป้อนคำถามเข้าเครื่องจำลอง หรือ “ซิมมูเลเตอร์” ที่นักบินใช้ฝึกบินและแก้ปัญหา เมื่อใส่คำถามเข้าไป แล้วรอคำตอบว่าเครื่องนี้จะคิดและเสนอแนวทางแก้ปัญหาอย่างไร
หลายคนสงสัยว่า เจ้าหน้าที่คนนี้คาดการณ์สถานการณ์ได้ใกล้เคียงความจริงมาก สิ่งที่ต้องถามต่อคือ เขาได้ข้อมูลอะไรมาก่อน หรือตั้งสมมติฐานขึ้นเอง แล้วบังเอิญมันเกิดเรื่องนี้ขึ้นจริง ใครพอจะตอบเรื่องนี้ได้บ้าง ส่วนผู้เขียนนั้นไม่รู้จริงๆ
รู้อย่างเดียวว่า ตั้งแต่นี้ไป สงครามข่าวสารระหว่างจีนกับสหรัฐคงเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้เป็นยุคที่ “ใครคุมข้อมูลข่าวสาร คนนั้นครองโลก”
———————————————————-
ที่มา : โพสต์ทูเดย์ / 2 เมษายน 2563
Link : https://www.posttoday.com/politic/columnist/619651