มิชิแกนประท้วงดุล็อคดาวน์โควิด-19 พกปืนบุกเข้าสภา

Loading

วันนี้ ( 1 พ.ค. 63 )ผู้ประท้วงมาตรการล็อคดาวน์โควิด19 ในรัฐมิชิแกนหลายร้อยคน โดยมีหลายคนพกปืนซึ่งรวมไปถึงปืนไรเฟิล บุกเข้าไปประท้วงภายในอาคารสภาของรัฐมิชิแกน ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองแลนซิ่ง ผู้ประท้วงเรียกร้องกดดันให้ผู้ว่าการรัฐมิชิแกน ยกเลิกมาตรการล็อคดาวน์ และให้ธุรกิจกลับมาเปิดทำการได้ทันทีในวันนี้ 1 พฤษภาคม การพกปืนเข้าไปภายในอาคารสภา สามารถทำได้ไม่ผิดกฎหมายในรัฐมิชิแกน และผู้ประท้วงหลายคนได้พกปืนอย่างเปิดเผย เข้าไปภายในส่วนของวุฒิสภา ทำให้วุฒิสภาหลายคนถึงกับต้องสวมเสื้อกันกระสุน ผู้ประท้วงจำนวนมากไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย และไม่รักษาระยะห่างโซเชียล ดิสแทนซิ่ง ซึ่งเป็นการละเมิดคำสั่งล็อคดาวน์ แต่ตำรวจได้มีการตรวจวัดไข้ ก่อนที่จะปล่อยให้ผู้ประท้วงบางส่วน เข้าไปภายในสภาได้ ในขณะที่ผู้ประท้วงส่วนใหญ่ยังอยู่ที่ด้านนอกของอาคารสภา  มีผู้สมัครสมาชิกสภารัฐมิชิแกนจากพรรครีพับลิกันบางคน ออกมาสนับสนุนการประท้วงด้วย การประท้วงเมื่อวานนี้ นับเป็นการประท้วงมาตรการล็อคดาวน์ ที่มีผู้เข้าร่วมมากที่สุดอีกครั้งหนึ่งในรัฐมิชิแกน หลังจากเคยเกิดการประท้วงครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา โดยผู้ประท้วงใช้วิธีนั่งนิ่งเฉยอยู่ภายในรถพร้อมกับบีบแตรเสียงดังสนั่น จงใจทำให้การจราจรติดขัดบนถนนรอบอาคารสภามิชิแกน การประท้วงในวันนั้น ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ได้มีการทวิตข้อความ “ปลดปล่อยมิชิแกน” สนับสนุนการประท้วงด้วย การประท้วงเกิดขึ้นในขณะที่ภายในสภารัฐมิชิแกน ซึ่งพรรครัฐบาลรีพับลิกันครองเสียงข้างมาก มีการลงมติไม่รับรองการประกาศขยายเวลาล็อคดาวน์ของ เกรทเช่น วิตเมอร์ ผู้ว่าการหญิงรัฐมิชิแกน ที่มาจากพรรคฝ่ายค้านเดโมแครตส์ หลังจากวิตเมอร์เพิ่งประกาศขยายเวลาภาวะฉุกเฉินและมาตรการล็อคดาวน์โควิด19 ที่เพิ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา…

ซัดกันคนละหมัด

Loading

โดย…ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ สงครามข่าวสารระหว่างจีนและสหรัฐยังดำเนินไปอย่างเผ็ดร้อน และยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลงง่ายๆ หรือจบไม่ลง เพราะการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า ตนเองเป็นผู้แพร่เชื้อไข้หวัดมรณะ “โควิด 19” นั้น คงเป็นไปไม่ได้ แม้ว่า เวลานี้จีนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะกลายเป็น “จำเลย” ในสังคมโลก ซึ่งรู้กันอย่างเปิดเผยว่า ไวรัสโควิด 19 เกิดขึ้นที่เมืองอู่ฮั่น และสุดท้ายเผยแพร่ไปยังทั่วโลกในขณะนี้ ในขณะที่ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐและสหภาพยุโรปต่างชี้หน้ามาที่จีนว่าเป็นตัวการที่แพร่กระจายเชื้อโควิด 19 ไปทั่วโลก จีนยอมรับว่าจริงที่เชื้อนี้เกิดขึ้นที่จีนแต่เชื้อโรคร้ายที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรมโดยมนุษย์ถูกแอบนำมาปล่อยในจีนเพื่อชะลอการเจริญเติบโตของจีน และกล่าวหาว่า สหรัฐนั่นแหละที่เป็นคนแอบเอาเชื้อนี้มาปล่อยในจีนจนระบาดไปทั่ว และเพื่อให้ดูมีน้ำหนักมากขึ้น จีนได้ฟ้องต่อศาลระหว่างประเทศว่า สหรัฐเป็นตัวการที่เอาเชื้อนี้มาปล่อยในจีน ส่วนผลจะออกมาอย่างไร คงใช้เวลาเป็นปี ในขณะเดียวกัน ผู้ว่าการรัฐหนึ่งในสหรัฐได้ฟ้องต่อศาลสูงสุดของสหรัฐกล่าวหาจีนว่า เป็นต้นตอทำให้คนอเมริกันตายและติดเชื้อโควิด 19 ซึ่งคงเป็นการฟ้องเพื่อหวังผลการเลือกตั้งในประเทศมากกว่า ส่วนศาลสูงสหรัฐจะพิจารณาคดีนี้อย่างไรเพราะจีนซึ่งเป็นจำเลยคงไม่มาชี้แจง ถ้ามาก็เท่ากับยอมรับอำนาจศาลของอเมริกา สุดท้าย ศาลก็คงพิจารณาฝ่ายเดียวว่าจีนผิด สังคมประชาธิปไตยแบบสหรัฐนี่ดีอย่างเพราะทุกอย่างต้องโปร่งใส คนอเมริกันและคนทั่วโลกเข้าถึงข้อมูลต่างๆ หลายที่หาจากที่อื่นไม่ได้ เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2563 มีบทความในรูปวิดีโอชื่อ “ความจริงทั้งหมด” หัวข้อเรื่อง “คำร้องขอข้อมูลของฟอร์ด ดิทริค” เขียนโดย เกรซ ไบร์ด ได้จัดลำดับเหตุการณ์เด่นๆ ที่นำไปสู่บทสรุปที่ว่า เชื้อไวรัสโควิด 19 รั่วไหลออกมาจากห้องปฏิบัติการอาวุธชีวภาพของซี.ไอ.เอ. จนศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (ซีดีซี) ต้องปิดห้องปฏิบัติการและยุติโครงการดังกล่าว และกำลังสืบสวน…

การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา: ปัจจัยเสริมอุดมการณ์พวกสุดโต่ง

Loading

ที่มาภาพ: https://edition.cnn.com/2020/04/07/politics/national-security-warning-coronavirus-extremism/index.html National security officials warn of extremists exploiting coronavirus pandemic By David Shortell, CNN Updated 0032 GMT (0832 HKT) April 8, 2020 Written by Kim ผลร้ายที่ตามมาของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) มีแนวโน้มเป็นปัจจัยส่งเสริมอุดมการณ์สุดโต่งทุกประเภท โดยกลุ่มสุดโต่งทางศาสนา (religious extremists) กลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายซ้าย (radical left-wing groups) และพวกคนขาวผู้สูงส่ง (white supremacists) ต่างเห็นโอกาสที่จะเสริมพลังอุดมการณ์และเรื่องเล่าในการอธิบายแนวทางจัดการไวรัสโคโรนาของตน ขณะที่มาตรการสอดส่องตรวจตราประชาชนด้วยเทคโนโลยีสอดแนมก่อให้เกิดความรู้สึกถึงโลกที่ไม่พึงปราถนาซึ่งปกครองด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จ ในอนาคตผู้ก่อการร้ายอาจฉวยใช้เทคโนโลยีจัดส่งสิ่งของ เช่น เครื่องบินไร้คนขับ (drone) เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ในการก่อการร้ายต่อไป           การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เปิดโอกาสให้ผู้ก่อการร้ายและพวกหัวรุนแรงสุดโต่งเสริมสร้างความรุนแรงให้กับเรื่องเล่าของตน หลังการแพร่ระบาดจะนำไปสู่ความคับข้องใจครั้งใหม่ ซ้ำเติมความทุกข์ยากเดิมอย่างลึกซึ้งจากเรื่องเชื้อชาติ ศาสนาไปจนถึงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ความไร้เสถียรภาพถูกทำให้ลุกเป็นไฟด้วยการกระจายข้อมูลบิดเบือน (disinformation) ที่ออกแบบมาเพื่อหว่านแพร่ความสับสนวุ่นวาย ขณะเดียวกันแสวงประโยชน์จากความแตกแยกและกระตุ้นให้เกิดการแบ่งขั้วเป็นฝักเป็นฝ่าย[1]           พวกสุดโต่งทางศาสนาพยายามสร้างภาพการแพร่ระบาดว่า…

หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ยัน “โควิด-19” ไม่ได้สร้างโดยมนุษย์

Loading

FILE – A scientist runs a mock COVID-19 sample test in Washington, D.C., April 28, 2020. หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ยืนยันว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” ไม่ได้ถูกสร้างโดยมนุษย์ หักล้างแนวคิดที่ว่าโควิด-19 ถูกสร้างขึ้นในห้องทดลองในประเทศจีน สำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ ออกแถลงการณ์ฉบับพิเศษเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เผยแพร่ในวงกว้าง พบว่าโควิด-19 ไม่ได้สร้างขึ้นโดยมนุษย์หรือมาจากการตัดต่อพันธุกรรมใดๆ แต่จะยังค้นหาข้อมูลต่อไปว่าการระบาดของไวรัสมาจากการแพร่เชื้อจากสัตว์สู่มนุษย์ หรือเป็นผลจากอุบัติเหตุในห้องแลบในเมืองอู่ฮั่น ศูนย์กลางการระบาดของโควิด-19 ในช่วงแรกๆ แถลงการณ์จากสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ได้หักล้างอย่างน้อยหนึ่งทฤษฎีต้นกำเนิดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ว่าเป็นไวรัสที่ถูกสร้างขึ้นในห้องทดลองของจีน แต่ทางการสหรัฐฯ ยังคงค้นหาต้นตอของการระบาดของไวรัสว่าเป็นรูปแบบการแพร่เชื้อจากสัตว์สู่คนได้อย่างไร หรืออาจมีต้นตอจากความผิดพลาดหรืออุบัติเหตุระหว่างการทดลองทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ ที่ผ่านมาทำเนียบขาวได้เรียกร้องให้ค้นหาความจริงเกี่ยวกับต้นตอของโควิด-19 และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เองก็แสดงความคลาแคลงใจเกี่ยวกับบทบาทของจีนและองค์การอนามัยโลกในเรื่องนี้ด้วย ขณะที่นายไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใสของรัฐบาลจีน และว่าจีนยังคงทำให้ทั่วโลกตกอยู่ในความเสี่ยงอยู่หากไม่เปิดเผยว่าต้นตอของโควิด-19 มาจากไหน ——————————————————————————- ที่มา : VOA Thai / 1 พฤษภาคม 2563…

ทำเนียบขาวสั่งหน่วยข่าวกรองตรวจสอบจีนและอนามัยโลกปิดบังข้อมูลโควิด-19 หรือไม่?

Loading

สำนักข่าวเอ็นบีซีรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำเนียบขาวมีคำสั่งให้หน่วยงานข่าวกรองต่าง ๆ ของสหรัฐ นับตั้งแต่สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานข่าวกรองทหาร รวมทั้งศูนย์ข่าวกรองด้านการแพทย์แห่งชาติ และซีไอเอ เร่งตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังทั้งจากการดักฟังการสื่อสาร การรายงานจากแหล่งข่าว ภาพถ่ายดาวเทียม รวมทั้งจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ เพื่อหาคำตอบว่าจีนและองค์การอนามัยโลกจงใจปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในช่วงแรก ๆ หรือไม่ โดยหน่วยงานข่าวกรองต่าง ๆ ของสหรัฐได้รับมอบหมายภารกิจให้หาคำตอบว่าองค์การอนามัยโลกได้ทราบอะไรเกี่ยวกับห้องปฏิบัติการทดลองสองแห่งในเมืองอู่ฮั่นของจีนที่ศึกษาเกี่ยวกับเชื้อโคโรนาไวรัสด้วย คำสั่งของทำเนียบขาวเรื่องนี้สอดคล้องกับคำกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อวันจันทร์ที่ว่า สหรัฐกำลังตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง และว่า รัฐบาลสหรัฐไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเชื่อว่าจีนสามารถยับยั้งเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวนี้ได้ในแหล่งที่เกิดตั้งแต่แรก ในช่วงหลังนี้ ท่าทีจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐคือการมุ่งความสนใจกับเรื่องที่จีนไม่สามารถควบคุมการระบาดของไวรัสนี้ได้ตั้งแต่แรก และประธานาธิบดีทรัมป์เองก็ได้เปลี่ยนท่าทีจากการชมเชยจีนในช่วงแรก ๆ ว่ารับมือกับการระบาดได้เป็นอย่างดี มาเป็นการตำหนิโจมตีจีนอย่างรุนแรง หลังจากที่การระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐส่งผลต่อเศรษฐกิจ โดยเอ็นบีซีรายงานด้วยว่า การกล่าวโทษจีนสำหรับปัญหาเศรษฐกิจนี้ดูจะใช้ได้ผลสำหรับฐานคะแนนของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางตอนกลางของประเทศ และนอกจากการกล่าวโทษจีนแล้ว ผู้นำสหรัฐยังตำหนิองค์การอนามัยโลกว่าทำงานผิดพลาดในเดือนมกราคม จากการกล่าวว่าเชื้อนี้ไม่สามารถติดต่อจากคนถึงคนได้ รวมทั้งกล่าวหาว่าจีนมีอิทธิพลเหนือการทำงานขององค์การอนามัยโลกด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ก็ชี้ว่า การโจมตีจีนกับองค์การอนามัยโลกเป็นความพยายามเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นจากความล้มเหลวและความล่าช้าของประธานาธิบดีทรัมป์เอง ในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคนี้ในสหรัฐ คำถามหนึ่งที่มีอยู่ขณะนี้ก็คือ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับคำเตือนจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของสหรัฐ เมื่อเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์อย่างไร? เมื่อวันจันทร์ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า มีรายงานและการวิเคราะห์ด้านข่าวกรองของสหรัฐที่เตือนเกี่ยวกับโรคระบาดใหญ่นี้ รวมอยู่ในการบรรยายสรุปประจำวันสำหรับประธานาธิบดีทรัมป์ถึงกว่าสิบครั้งด้วยกันในช่วงต้นปี ซึ่งรวมถึงเรื่องความพยายามของจีนที่จะปกปิดข้อมูลด้วย สำนักข่าวเอ็นบีซีก็รายงานเช่นกันว่า หน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐเริ่มเห็นสัญญาณเตือนภัยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในเมืองอู่ฮั่นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยศูนย์ข่าวกรองด้านการแพทย์แห่งชาติของสหรัฐคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า…

ปชต.ไม่กลัวโควิด! นักเคลื่อนไหวฮ่องกงนับร้อยเดินหน้าประท้วงในห้างสรรพสินค้า

Loading

เซาต์ไชนามอร์นิงโพสต์ – นักเคลื่อนไหวฝักใฝ่ประชาธิปไตยมากกว่า 100 คน รวมตัวกันภายในห้างสรรพสินค้าหรูแห่งหนึ่งในย่านใจกลางฮ่องกงในวันอังคาร (28 เม.ย.) ในขณะที่การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเริ่มกระพือขึ้นมาอีกครั้งหลังหยุดพักไปนานหลายเดือน เพิกเฉยมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่กำหนดมาเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) พวกผู้ประท้วงรวมตัวกันที่ห้างสรรพสินค้าอินเตอร์เนชันแนล ไฟแนนเชียล เซ็นเตอร์ ร้องเพลง “กลอรี ทู ฮ่องกง” ซึ่งเป็นเพลงสัญลักษณ์ของการชุมนุม โดยพวกเขาเรียกร้องให้ทางการรปล่อยตัวบรรดานักเคลื่อนไหวที่ถูกจับกุมระะหว่างการประท้วงเมื่อปีที่แล้ว ที่โหมกระพือขึ้นจากความไม่พอใจของประชาชนต่อร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนฉบับหนึ่ง ซึ่งเวลานี้ถูกถอนออกไปแล้ว ขณะเดียวกัน พวกผู้ประท้วงยังใช้โอกาสนี้รำลึกครบ 1 ปีการชุมนุมประท้วงต่อต้านร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งมีกลุ่มแนวร่วมพลเมืองสิทธิมนุษยชน (Civil Human Rights Front) เป็นแกนนำ โดยทางกลุ่มอ้างว่ามีผู้เข้าร่วมชุมนุมราวๆ 130,000 คน ในวันที่ 28 เมษายนปีก่อน แต่ตำรวจระบุว่ามีผู้เข้าร่วมเพียง 22,800 คน “ฉันทำงานจากที่บ้าน แต่ฉันคิดว่าฉันควรออกมาเพื่อแสดงพลังสนับสนุนพวกผู้ประท้วง” คนงานภาคอุตสาหกรรมไอที วัย 45 ปีกล่าว “ฉันไม่อาจอดทนกับสถานการณ์ในฮ่องกงในปัจจุบัน มันไม่มีหลักนิติธรรม และพวกผู้พิพากษาตัดสินคดีอย่างไม่ยุติธรรม” เธอกล่าว การประท้วงเสี่ยงเจอโทษปรับ 2,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (ราว…