กรณีสหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนที่เมืองฮิวสตัน

Loading

จากเหตุการณ์เมื่อ 21 กรกฎาคม 2563 (เวลาท้องถิ่น) กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ สั่งปิดสถานกงสุลจีนประจำเมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส สหรัฐฯ ภายในวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 รวมเป็นเวลา 72 ชั่วโมงที่เจ้าหน้าที่จีนทั้งหมดพร้อมทรัพย์สินทุกประเภทจะถูกขนย้ายออกจากที่ตั้งของสถานกงสุลจีนดังกล่าว  เช่นนี้เมื่อ 22 กรกฎาคม 2563 ปรากฎกลุ่มควันจากภายในพื้นที่ตั้งอาคารสถานกงสุลจีน ซึ่งประเมินว่า กลุ่มควันนี้น่าจะมาจากการเผาเอกสารของเจ้าหน้าที่จีน  เพราะในแต่ละหน่วยงานรัฐที่ตั้งอยู่นอกดินแดน ต่างต้องมีแผนการปฏิบัติเพื่อปกป้อง ดูแลรักษา และคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินที่อยู่ในครอบครอง โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับภาวะฉุกเฉินหรือการสุ่มเสี่ยงต่อภยันตรายและกระทบผลประโยชน์ของชาติ เหตุที่เกิดขึ้นนั้นน่าจะเป็นไปตามแผนการปฏิบัติต่อทรัพย์สินในครอบครอง โดยเป็นการทำลายทรัพย์สินบางส่วนที่เป็นภาระในการเคลื่อนย้ายหรือง่ายต่อการสูญหายขณะเคลื่อนย้าย เช่น เอกสาร สื่อต่างๆ ที่ใช้จัดเก็บข้อมูลข่าวสาร และการทำลายจึงมักใช้วิธีเผาไฟ เนื่องจากเป็นวิธีทำลายที่ให้ผลดีที่สุดนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะนำไปกู้สภาพคืนได้ยาก  ตัวอย่างเช่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากกองทัพญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐฯ ที่เพิร์ลฮาเบอร์ รัฐฮาวาย สหรัฐฯ เมื่อ 7 ธันวาคม 2484  หน่วยงานรัฐประจำในสหรัฐฯ ของญี่ปุ่น ทำการเผาทำลายเอกสาร และสื่อจัดเก็บข้อมูลทุกประเภท เป็นต้น หากนำมาพิจารณากับระเบียบราชการของไทยด้านมาตรการรักษาสิ่งที่เป็นความลับและการรักษาความปลอดภัยของทางราชการแล้ว  กรณีที่แต่ละหน่วยงานรัฐของไทยต้องเผชิญภาวะเช่นเดียวหรือคล้ายคลึงกับกรณีสถานกงสุลจีนที่เมืองฮิวสตัน…

หนุ่มใหญ่มะกันขโมยกดเงินกว่า 3 ล้านด้วยการปลอมตัวสวมหน้ากากชายชรา-ขโมยตัวตน

Loading

มิจฉาชีพปลอมหน้าเป็นชายชรา กับปลอมใบขับขี่ ขโมยเงินลูกค้ากาสิโนผ่านตู้อัตโนมัติ กว่าจะรู้สูญเงินกว่า 3 ล้าน จอห์น คริสโตเฟอร์ คอลเลตติ ชาวเมืองฮาร์เปอร์วูดส์ รัฐมิชิแกน ถูกจับกุมในหลายข้อหา จากการขโมยกดเงินกว่า 1 แสนดอลลาร์ (กว่า 3 ล้านบาท ) ด้วยวิธีแยบยล  ใช้หน้ากากยางปลอมหน้าเป็นชายชรา ปลอมใบขับขี่ และขโมยตัวตนด้วยการซื้อข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อจากอินเทอร์เน็ต ก่อนนำไปใช้ถอนเงินจากตู้อัตโนมัติบ่อนกาสิโน สำนักงานสืบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ) เปิดสอบสวนโดยทำงานร่วมกับเอ็มจีเอ็ม แกรนด์ กาสิโน พบลูกค้า 10 ราย สูญเงินรวมกันประมาณ 1 แสนดอลลาร์ช่วง 26 เม.ย-27 พ.ค.2562 ก่อนส่งเรื่องให้ตำรวจรัฐมิชิแกนดำเนินการต่อ ที่ต่อมาพบผู้ต้องสงสัยจากกล้องวงจรปิด แต่ทุกครั้ง ปรากฏเป็นภาพบุคคลสวมหน้ากากดูคล้ายกับผู้สูงอายุผิวขาว สวมหมวก ใส่แว่นตา มีครั้งหนึ่ง คอลเลตติ ถอนเงิน 15 ครั้ง ครั้งละ 2,000 ดอลลาร์ รวม 3 หมื่นดอลลาร์ …

เมื่อข่าวกรอง (Intelligence) ถูกทำให้เป็นการเมือง (Politicizing): อันตรายของประเทศ

Loading

https://www.npr.org/2020/07/01/885909588/trump-calls-bounty-report-a-hoax-despite-administration-s-briefing-of-congress Written by Kim รัฐบาลของประธานธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯมีมาตรฐานการปฏิบัติต่อรายงานใด ๆ ที่เผยให้เห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์ประจบประแจงประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ด้วยการตีตราว่ารายงานนั้นเป็น “ข่าวปลอม” การทำให้รายงานประมาณการข่าวกรองแห่งชาติ (national intelligence assessments) และการวิเคราะห์จากประชาคมข่าวกรองเป็น “การเมือง” (politicizing) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผลทางลบอย่างมหาศาลและก่อให้เกิดความจริงทางเลือก (alternative facts) ที่ขัดแย้งไม่สำคัญทางการเมืองรวมทั้งการวิเคราะห์ฝ่ายเดียว ทั้งนี้ มีหน่วยงานพลเรือนของรัฐบาลกลางเพียงไม่กี่แห่งที่ไม่ถูกประธานาธิบดีทรัมป์และผู้จงรักภักดีทางการเมือง ป้ายสีว่าลำเอียงเข้าข้าง ทรยศหรือเป็นส่วนหนึ่งของรัฐพันลึก (Deep State)[1] ระหว่างการนำสหรัฐฯเข้าสู่หายนะของการรุกรานอิรักในปี 2003 รัฐบาลของประธานาธิบดีบุชประสบความสำเร็จอยู่บ้างในการคัดเลือกเฉพาะข่าวกรองที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง (casus belli) เพื่อเข้าทำสงคราม จากนั้นรองประธานาธิบดี Dick Cheney ได้แทรกแซงและจุ้นจ้านกับการวิเคราะห์ของสำนักงานข่าวกรองกลาง (Central Intelligence Agency – CIA) โดยใช้การเมืองกดดันหน่วยข่าวกรองมืออาชีพฝ่ายพลเรือน โดยผลพวงของความขัดแย้งดังกล่าวยังคงรู้สึกได้จนถึงทุกวันนี้ รัฐบาลสหรัฐฯมักจัดลำดับความสำคัญและออกคำสั่งข่าวกรองแห่งชาติ (national intelligence directives) มอบหมายภารกิจให้หน่วยงานข่าวกรองรวบรวม วิเคราะห์ ประมาณการและแจกจ่ายรายงานข่าวกรองตามลำดับความสำคัญและวัตถุประสงค์ เมื่อใดที่รัฐบาลพยายามแสวงหาข่าวกรอง เพื่อสนับสนุนข้อกำหนดที่มีอยู่ก่อน (pre-existing preference) หรือความเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นตามมาย่อมเลวร้ายเสมอ นี่คือแนวโน้มความแตกแยกที่ถูกตรวจสอบโดยข้าราชการพลเรือนที่ทำหน้าที่รับใช้ฝ่ายบริหารทุกระดับของรัฐบาล…

ชายสิงคโปร์รับสารภาพเป็น ‘สายลับจีน’ แฝงตัวในสหรัฐฯ

Loading

เอเอฟพี – ชายชาวสิงคโปร์รับสารภาพวานนี้ (24 ก.ค.) ว่าเข้ามาเปิดบริษัทที่ปรึกษาในสหรัฐฯ บังหน้าเพื่อเป็นสายลับรวบรวมข่าวกรองให้กับจีน โหยว จุน เว่ย หรือ ดิกสัน โหยว (Dickson Yeo) รับสารภาพต่อศาลกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่า ทำงานเป็นสายสับต่างชาติ โดยได้รับการว่าจ้างจากหน่วยข่าวกรองจีนให้ “ระบุตัวตนและประเมินบุคลากรกองทัพหรือลูกจ้างรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้รับอนุญาตเข้าถึงข้อมูลชั้นความลับ” ระหว่างปี 2015-2019 โหยว วัย 39 ปี จ่ายเงินจ้างคนเหล่านี้ให้เขียนรายงาน โดยอ้างว่าจะส่งให้กับลูกค้าในเอเชีย แต่แท้ที่จริงข้อมูลดังกล่าวกลับถูกส่งตรงให้กับรัฐบาลจีน คำรับสารภาพของ โหยว มีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่สหรัฐฯ สั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตัน รัฐเทกซัส โดยกล่าวหาว่าเป็นศูนย์สอดแนมและปฏิบัติการขโมยความลับด้านเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญา สหรัฐฯ ยังจับกุมนักวิชาการจีนอีก 4 คน ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาในข้อหาแจ้งข้อมูลวีซ่าอันเป็นเท็จ และปิดบังความสัมพันธ์กับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน โหยว ยอมรับว่า เขารู้ตัวว่ากำลังทำงานให้หน่วยข่าวกรองจีน เคยพบปะสายลับจีนมาแล้วเป็นสิบๆ ครั้ง และได้รับการดูแลเป็นพิเศษเมื่อเดินทางไปจีน เขาถูกจับหลังจากที่เดินทางกลับมายังสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือน พ.ย. ปี 2019 โหยว เริ่มทำงานกับหน่วยสืบราชการลับจีนตั้งแต่เป็นนักศึกษาปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS)…

สหรัฐสั่งคุก 15 ปี มือวางแผนก่อวินาศกรรมถล่มทำเนียบขาว

Loading

แฟ้มภาพนายแฮเชอร์ ทาเฮบ ผู้ต้องหาในคดีวางแผนโจมตีทำเนียบขาว ซึ่งทั้งสองภาพถ่ายไว้ในปี 2015 (เอพี) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาแถลงเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า นายแฮเชอร์ ทาเฮบ ชาวเมืองคัมมิง รัฐจอร์เจีย อายุ 23 ปี ถูกศาลตัดสินโทษจำคุกเป็นเวลา 15 ปี จากการวางแผนที่จะก่อวินาศกรรมโจมตีทำเนียบขาวด้วยจรวดต่อต้านรถถังและวัตถุระเบิดต่างๆ และยังมีแผนที่จะโจมตีรูปปั้นเทพีเสรีภาพ อนุสาวรีย์วอชิงตัน อนุสรณ์สถานลินคอล์น และ โบสถ์ยิวในกรุงวอชิงตันด้วย ข่าวแจ้งว่า การตัดสินโทษมีขึ้นหลังจากนายทาเฮบถูกเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐจับกุมตัวไว้ได้เมื่อวันที่ 16 มกราคมปี 2019 หนึ่งปีหลังจากที่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอของสหรัฐได้รวบรวมข้อมูลหลังได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนในชุมชนว่านายทาเฮบซึ่งขณะนั้นมีอายุ 21 ปี มีรากฐานทางความคิดที่เปลี่ยนไป ในคำฟ้องระบุว่านายทาเฮบได้พยายามเกณฑ์ให้ผู้แจ้งข่าวและเจ้าหน้าที่เอฟบีไอนอกเครื่องแบบเข้าร่วมแผนการก่อวินาศกรรมของตนเอง ซึ่งนายทาเฮบกล่าวอ้างว่าเป็นหน้าที่ของเขาในการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อจะได้เป็นผู้พลีชีพเพื่อศาสนา โดยในตอนแรกนายทาเฮบหวังจะเดินทางไปยังพื้นที่ยึดครองของกลุ่มกองกำลังรัฐอิสลาม(ไอเอส)ในตะวันออกกลาง แต่ได้เปลี่ยนใจที่จะลงมือในสหรัฐ เนื่องจากเขาไม่มีพาสปอร์ต ทั้งนี้การจับกุมนายทาเฮบมีขึ้นขณะเขาถูกเจ้าหน้าที่เอฟบีไอล่อจับในระหว่างรอรับอาวุธที่นายทาเฮบสั่งให้นำมาส่งให้ทั้งอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติ ระเบิดและอาวุธต่อต้านรถถังเอที-4 —————————————————————- ที่มา : มติชน / 24 กรกฎาคม 2563 LInk : https://www.matichon.co.th/foreign/news_2279229

ผู้ประท้วงปะทะ จนท.รัฐบาลกลางเมืองพอร์ตแลนด์หลังศาลสั่งห้ามการใช้กำลัง

Loading

Protesters throw flaming debris over a fence at the Mark O. Hatfield United States Courthouse on Wednesday, July 22, 2020, in Portland, Ore. Following a larger Black Lives Matter Rally, several hundred demonstrators faced off against federal… ประชาชนในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ยังคงเดินหน้าประท้วงต่อเนื่อง และปะทะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลาง หลังศาลออกคำสั่งยับยั้งไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกรุงวอชิงตันส่งมา ใช้กำลังกับผู้สื่อข่าวและผู้สังเกตการณ์เหตุประท้วง ในวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น ผู้ชุมนุมปะทะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางที่ปักหลักดูแลอาคารสำนักงานศาลของเมืองพอร์ตแลนด์ ก่อนที่เจ้าหน้าที่บางส่วนจะยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ฝูงชน เพื่อกันให้ออกจากบริเวณอาคาร พร้อมประกาศว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายด้วย เหตุปะทะกันระหว่างทั้งสองฝ่ายนี้เกิดขึ้น หลังผู้พิพากษา ไมเคิล ไซมอน ออกคำสั่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ยับยั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางไม่ให้ใช้กำลัง เข้าสลาย…