เกาหลีเหนือสะสมอาวุธเคมีมากอันดับ 3 ของโลก

Loading

เกาหลีเหนืออาจมีนิวเคลียร์มากถึง 60 ลูก และยังสะสมอาวุธเคมีมากเป็นอันดับ 3 ของโลกที่ราว 2,500-5,000 ตัน กองทัพบกสหรัฐเผยรายงานการประเมินอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ โดยเชื่อว่าเกาหลีเหนือมีระเบิดนิวเคลียร์อยู่ราว 20-60 ลูก และมีศักยภาพในการผลิตเพิ่มปีละ 6 ลูก ทั้งยังเผยว่าบางรายงานระบุว่าภายในสิ้นปีนี้เกาหลีเหนือจะมีระเบิดนิวเคลียร์ถึง 100 ลูก “รัฐบาลเปียงยางยังไม่ยอมยุติการผลิตอาวุธเหล่านี้เพื่อเป็นตัวประกันความอยู่รอดของตัวเอง” รายงานระบุ รายงานยังระบุว่าสาเหตุที่เกาหลีเหนือสะสมอาวุธไว้มากมายเนื่องจาก บรรดาผู้นำเกาหลีเหนือเชื่อว่าอาวุธนิวเคลียร์จะช่วยป้องกันไม่ให้ประเทศอื่นเข้ามาแทรกแซงจนนำมาสู่การโค่นอำนาจผู้นำ ขณะที่คิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ซึ่งได้เห็นตัวอย่างการโค่นล้มอำนาจของอดีตผู้นำลิเบียอย่าง มูอัมมาร์ กัดดาฟี ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เดียวกันนี้กับเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ กองทัพบกสหรัฐยังประเมินว่าเกาหลีเหนือยังมีอาวุธเคมีอย่างเชื้อแอนแทรกซ์หรือเชื้อฝีดาษสำหรับใช้โจมตีเกาหลีใต้ สหรัฐ และญี่ปุ่น ซึ่งเชื้อแอนแทรกซ์ 1 กิโลกรัมสามารถฆ่าชีวิตคนในกรุงโซลได้ราว 50,000 คน ——————————————– ที่มา : โพสต์ทูเดย์ / 20 สิงหาคม 2563 Link : https://www.posttoday.com/world/631082

แนวโน้มล่าสุดของสงครามไซเบอร์ (CYBERWARFARE) และการจารกรรมทางดิจิทัล (ESPIONAGE)

Loading

ที่มาภาพ: https://www.forbes.com/sites/steveandriole/2020/01/14/cyberwarfare-will-explode-in-2020-because-its-cheap-easy–effective/#53af1d216781 Written by Kim  “สงครามไซเบอร์จะระเบิดขึ้นในปี 2020 เพราะ “ต้นทุน (ราคา) ถูก ง่ายและมีประสิทธิภาพ” Steve Andriole, Professor of Business Technologyin the Villanova School of Business at Villanova University” ในการแข่งขันเพื่อเป็นชาติแรกของโลกที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา (COVID-19) ปรปักษ์ของสหรัฐฯได้แอบขโมยข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนดังกล่าวจากมหาวิทยาลัย บริษัทเภสัชภัณฑ์และสถาบันดูแลสุขภาพของสหรัฐฯ เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงและศักดิ์ศรีของประเทศรวมทั้งแรงกระตุ้นทางการเงินประกอบกับความสัมพันธ์สหรัฐฯ – จีนที่เสื่อมทรามลง โอกาสที่ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันจึงมีค่าเท่ากับศูนย์ (nil) ขณะที่กลุ่ม Cozy Bear นักเจาะระบบชาวรัสเซีย ซึ่งใกล้ชิดกับหน่วยข่าวกรองต่างประเทศรัสเซีย (SVR) ได้เล็งเป้าที่การวิจัยวัคซีนดังกล่าวเช่นกัน อย่างไรก็ดี รัสเซีย จีนและปรปักษ์อื่น ๆ ต่างก็ใช้ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในการ “ชักชวน” ให้นักเจาะระบบผู้ช่ำชองและอาชญากรไซเบอร์ “ทำงาน” ที่ยากต่อการเชื่อมโยงกลับไปยังรัฐผู้อุปถัมป์ (state sponsors)[1] ปัจจุบัน นักเจาะรบบจากจีน รัสเซียและอิหร่านได้ขโมยข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาจากมหาวิทยาลัย บริษัทเวชภัณฑ์และสถาบันดูแลสุขภาพในสหรัฐฯ โดยทำให้การแข่งขันเพื่อเป็นชาติแรกที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัส COVID-19 ทวีความรุนแรง ทั้งนี้ การโจมตีทางไซเบอร์ (Cyberattacks) ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศเหล่านี้…