- นายกรัฐมนตรี อาบีย์ อาห์เหม็ด แห่งเอธิโอเปีย ประกาศสงครามกับภูมิภาค ไทเกรย์ ทางตอนเหนือของประเทศ จนเกิดการต่อสู้อย่างรุนแรงกับกลุ่ม TPLF ที่ปกครองดินแดนแห่งนี้อยู่
- ชนวนของสงครามครั้งนี้เริ่มขึ้นมานานหลายปี และค่อยๆ สะสมมาเรื่อยๆ จนถึงขีดสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และลุกลามกลายเป็นหนึ่งในวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ
- การต่อสู้ในภูมิภาคไทเกรย์อาจบานปลาย ทำให้ความขัดแย้งลุกลามไปทั่วประเทศ และอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วภูมิภาคแหลมแอฟริกา
ทหารจากภูมิภาคอัมฮารา ถูกส่งเข้าไปเผชิญหน้ากับกลุ่มกำลังของ TPLF เมื่อ 9 พ.ย. 2563
กลายเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก เมื่อนายกรัฐมนตรี อาบีย์ อาห์เหม็ด ซึ่งเพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพไปเมื่อปีที่แล้ว ประกาศสงครามกับภูมิภาคไทเกรย์ ดินแดนกึ่งปกครองตนเองในภาคเหนือของประเทศ อย่างไม่มีใครคาดคิด เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2563
สงครามครั้งนี้มีชนวนเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม ‘แนวหน้าปลดปล่อยประชาชนไทเกรย์’ (TPLF) ซึ่งปกครองไทเกรย์ และเคยเป็นสมาชิกสำคัญของพรรคร่วมรัฐบาลเอธิโอเปียมานานหลายทศวรรษ กับรัฐบาลของนายกฯ อาบีย์ ที่คุกรุ่นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก่อนจะปะทุขึ้นเมื่อไทเกรย์ขัดคำสั่งรัฐบาลกลางและจัดการเลือกตั้งท้องถิ่น
นายกรัฐมนตรี อาบีย์ สั่งให้กองทัพออกปฏิบัติการโจมตีในภูมิภาคไทเกรย์ หลังจากเกิดเหตุโจมตีที่ฐานทัพแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย รวมทั้งทรัพย์สินของกองทัพได้รับความเสียหาย โดยเขาโทษว่าเป็นฝีมือของกลุ่ม TPLF
เอธิโอเปียมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ย้อนกลับไปในปี 2561 รัฐบาลร่วมของเอธิโอเปียแต่งตั้งนายอาบีย์ เป็นนายกรัฐมนตรี และช่วยทำให้การประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ดำเนินมานานหลายเดือนสงบลง ทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2562 จากผลงานการฟื้นฟูสันติภาพกับประเทศเอริเทรีย ซึ่งเป็นศัตรูกันมานาน และมีพรมแดนติดกับภูมิภาคไทเกรย์
อย่างไรก็ตาม กลุ่ม TPLF ซึ่งปกครองภูมิภาคไทเกรย์มาหลายทศวรรษและต่อสู้กับเอริเทรียมาตลอดไม่ชอบที่นายอาบีย์ผูกมิตรกับเอริเทรีย และรู้สึกว่าพวกตนเองถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ เมื่อนายกฯ อาบีย์ ซึ่งถูกยกให้เป็นผู้นำนักปฏิรูป กล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐบาลชุดก่อนๆ ว่าทุจริตคอร์รัปชันและละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งปลดสมาชิกกลุ่ม TPLF หลายคนออกจากตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลกลาง
ความตึงเครียดระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายรุนแรงขึ้นอีกเมื่อนายอาบีย์ ตัดสินใจรวมพรรคของกลุ่มชาติพันธ์ุต่างๆ ที่ประกอบเป็นรัฐบาลร่วม EPRDF เข้าด้วยกัน แล้วจัดตั้งพรรครุ่งโรจน์ (Prosperity Party: PP) ขึ้นมา ซึ่ง TPLF คัดค้าน ระบุว่าการทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้ประเทศแตกแยก และปฏิเสธที่จะเข้าร่วมพรรค PP ขณะที่การเลื่อนจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศเมื่อช่วงต้นปี 2563 เพราะการระบาดของไวรัสโควิด-19 ยิ่งทำให้รอยร้าวกว้างขึ้นอีก
ในที่สุด กลุ่ม TPLF ก็ประกาศจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นในภูมิภาคไทเกรย์เมื่อเดือนกันยายน ทำให้รัฐบาลกลางออกมาประณามว่าเป็นการเลือกตั้งที่ผิดกฎหมาย และตอบโต้ด้วยการตัดความสัมพันธ์กับภูมิภาคไทเกรย์ และระงับการให้เงินช่วยเหลือ หลังจากนั้น รัฐบาลทั้งสองก็กล่าวหากันไปมาว่า เป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยฎหมายและผิดรัฐธรรมนูญ
กระทั่งในวันที่ 4 พ.ย. นายกรัฐมนตรีอาบีย์ก็ประกาศสงครามกับภูมิภาคไทเกรย์ โดยกล่าวหากลุ่ม TPLF ว่าแต่งกายด้วยชุดทหารเอริเทรีย โจมตีค่ายทหารรัฐบาลกลางในภูมิภาคไทเกรย์กลางดึก ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ขณะที่ฝ่าย TPLF กล่าวหารัฐบาลกลางว่า แต่งเรื่องหลอกลวงเพื่อสร้างความชอบธรรมในการบุกโจมตีไทเกรย์
กำลังเกิดอะไรขึ้นในไทเกรย์
ทันทีหลังจากประกาศสงคราม รัฐบาลกลางเอธิโอเปียก็ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ในภูมิภาคไทเกรย์ทันที ก่อนที่นายอาบีย์จะสั่งเคลื่อนกำลังพลเข้าสู่ไทเกรย์เพื่อตอบโต้การโจมตีที่ค่ายทหาร
ทั้งนี้ เอธิโอเปียเป็นหนึ่งในชาติแอฟริกาที่มีการติดอาวุธมากที่สุด และ TPLF นับว่ามีกำลังทหารพร้อมที่สุดในประเทศ เนื่องจากพวกเขามีประสบการณ์ต่อสู้บริเวณชายแดนกับประเทศเอริเทรียมานานหลายปี โดยองค์กรอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป (International Crisis Group) ประเมินว่า TPLF มีกำลังรบกึ่งทหารและนักรบติดอาวุธท้องถิ่นราว 250,000 คนทีเดียว
จนถึงตอนนี้มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วหลายร้อยราย นายอาบีย์ ออกแถลงการณ์เมื่อ 12 พ.ย. อ้างว่า ดินแดนทางตะวันตกของไทเกรย์ได้รับการปลดปล่อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวของ บีบีซี ในกรุงแอดดิส อาบาบา ระบุว่า มีสัญญาณชี้ว่า รัฐบาลกลางกับทางการไทเกรย์กำลังยกระดับความพยายามในการเคลื่อนย้ายทรัพยากร ซึ่งหมายความว่าการต่อสู้อาจจะดำเนินต่อไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง
องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือ แอมเนสตี อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์ระบุว่า เกิดการสังหารหมู่ขึ้นที่เมือง ไม-คาดรา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของภูมิภาคไทเกรย์เมื่อคืนวันที่ 9 พ.ย. มีประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบหลายร้อยคนถูกแทงหรือถูกทำร้ายจนตาย โดยผู้เห็นเหตุการณ์อ้างว่าเป็นฝีมือกองกำลังที่ภักดีกับกลุ่ม TPLF ที่เพิ่งพ่ายแพ้ให้กับกองทัพรัฐบาลกลางในการต่อสู้ที่เขต ลุกดี แต่กลุ่ม TPLF ปฏิเสธความเกี่ยวข้อง
ขณะเดียวกัน นายซาจจาด โมฮัมหมัด ซาจิด ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำเอธิโอเปีย เตือนว่า ประชาชนราว 2 ล้านคนในไทเกรย์ ซึ่งตอนนี้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปแล้ว กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก มีหลายคนที่ขาดแคลนอาหาร, เชื้อเพลิง หรือทั้ง 2 อย่าง
ด้านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองในซูดานเปิดเผยว่า มีพลเรือนเอธิโอเปียอย่างน้อย 7,000 คนรวมทั้งทหารจำนวนหนึ่ง อพยพข้ามพรมแดนเข้ามา บางคนต้องเดินเท้านาน 2-3 วันเพื่อหลบหนีการปูพรมทิ้งระเบิด แม้ซูดานจะตัดสินใจปิดพรมแดนรัฐคาสซาลาแล้วก็ตาม
หวั่นความขัดแย้งลุกลามไปพื้นที่อื่นๆ ในประเทศ
สงครามระหว่างรัฐบาลกลางกับภูมิภาคไทเกรย์ ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าความขัดแย้งจะลุกลามไปยังพื้นที่อื่นๆ ของประเทศด้วย โดยเฉพาะในบางภูมิภาคที่เรียกร้องขออำนาจปกครองตนเองมากขึ้น แม้ว่านายบีร์ฮานู จูลา รองเสนาธิการกองทัพเอธิโอเปียจะออกมายืนยันว่า สงครามจะจบลงแค่ที่นี่ (ไทเกรย์) ก็ตาม
ขณะที่เสียงเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายเจรจากันก็ดูท่าจะไม่มีประโยชน์ เนื่องจากไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กัน โดยทูตตะวันตกในกรุงแอดดิส อาบาบา ระบุว่า “สารจากชาวเอธิโอเปียก็คือ หากคุณพูดถึงการเจรจา คือการคุยระหว่างฝ่ายที่เท่าเทียมกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่นี่คือรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนอีกฝ่ายคือผู้ทรยศ”
ส่วน TPLF ประกาศก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้นว่า พวกเขาไม่สนใจที่จะเจรจากับรัฐบาลกลาง จนกว่าจะมีการปล่อยตัวผู้นำที่ถูกจับกุมตัวเสียก่อน
อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วแหลมแอฟริกา
ความขัดแย้งในเอธิโอเปีย นอกจากจะมีความเสี่ยงลุกลามไปในจุดอื่นๆ ทั่วประเทศแล้ว ยังอาจกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วภูมิภาคแหลมแอฟริกา (Horn of Africa) ซึ่งเสถียรภาพเปราะบางอยู่แล้ว โดยประเทศที่นายอาบีย์ มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูสันติภาพ อาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงทั้งหมด
การต่อสู้กับ TPLF ทำให้รัฐบาลกลางต้องเรียกทหารที่ประจำการในโซมาเลียเพื่อรักษาสันติภาพ กลับประเทศ ขณะที่มีผู้อพยพกำลังเดินทางเข้าสู่ซูดานที่กำลังเผชิญกับวิกฤติการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมืองครั้งใหญ่ของตัวเอง นอกจากนี้ คู่อริอย่างเอริเทรียก็ไม่ได้เปิดใจยอมรับเอธิโอเปียมากนัก แม้จะประกาศยุติสงครามต่อกันอย่างเป็นทางการในปี 2561 และอาจกระโจนเข้ามามีส่วนร่วมสงครามภายในครั้งนี้
สหประชาชาติก็กังวลในเรื่องนี้เช่นกัน โดยนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการใหญ่ UN ทวีตข้อความเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า “เสถียรภาพของเอธิโอเปียสำคัญต่อภูมิภาคแหลมแอฟริกาทั้งหมด ผมขอเรียกร้องให้มีการลดความตึงเครียดในทันที และหาทางออกจากความขัดแย้งอย่างสันติ”
ผู้เขียน: H2O
ที่มา: BBC, aljazeera, highsnobiety
——————————————————–
ไทยรัฐออนไลน์ / 13 พฤศจิกายน 2563
Link : https://www.thairath.co.th/news/foreign/1975724