อดีตทูตโสมแดงประจำคูเวต – วันที่ 1 ก.พ. ซีเอ็นเอ็น สัมภาษณ์พิเศษ นายรยู ฮย็อน-อู อดีตเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำคูเวต ถึงการแปรพักตร์จากระบอบเผด็จการบ้านเกิด เพื่อให้ลูกสาวตัวเองมีชีวิตดีขึ้น
แม้ว่านายรยูจะแปรพักตร์มาเกาหลีใต้เมื่อ 1 ปีที่แล้ว แต่ยังกลัวว่า สมาชิกครอบครัวที่อยู่ในเกาหลีเหนืออาจถูกลงโทษอย่างโหดร้ายเพราะการแปรพักตร์ของตัวเอง
นายรยูย้อนกลับไปช่วงเวลาก่อนแปรพักตร์ว่า ตนและภรรยาไม่ได้บอกลูกสาวแผนการหลบหนีที่เก็บเป็นความลับ โดยแกล้งทำเป็นพาลูกสาวไปโรงเรียน ก่อนบอกลูกสาวกลางทางว่า “มากับแม่และพ่อเพื่อค้นหาอิสรภาพเถอะนะ”
นายรยูและครอบครัวแสดงตัวที่สถานเอกอัครราชทูตเกาหลีประจำคูเวต และเดินทางไปประเทศเกาหลีใต้ไม่กี่วันหลังจากนั้น ทุกวันนี้ลูกสาวอดีตทูตเบอร์หนึ่งพอใจกับชีวิตใหม่ และรู้สึกยินดีที่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้มากตามต้องการ
อย่างไรก็ตาม นายรยูบอกว่า พี่น้องอีก 3 คน และคุณแม่วัย 83 ปี ที่อยู่ในเกาหลีเหนือ อาจเผชิญผลกรรมโหดร้ายจากระบอบตระกูลคิม ซึ่งไม่ยินยอมให้พลเมืองแปรพักตร์ “ความคิดที่ว่าครอบครัวผมที่นั่นถูกลงโทษในสิ่งที่ผมทำลงไปทำร้ายจิตใจผมเหลือเกิน”
นอกจากนี้ ในฐานะเอกอัครราชทูต นายรยูได้รับคำสั่งทำเป้ารายได้จากแรงงานเกาหลีเหนือหลายพันคนที่ถูกส่งมาทำงานในที่คูเวต เพื่อส่งกลับไปสนับสนุนเผด็จการที่บ้านเกิด ส่วนการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อเกาหลีเหนือจะดำเนินต่อไป และสิทธิมนุษย์ชนยังเป็นประเด็นอ่อนไหวและจริงจัง
อดีตเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือผู้นี้เตือนด้วยว่า นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ เชื่อว่า การพัฒนาคลังแสงนิวเคลียร์เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ตัวเองอยู่รอด และจะไม่มีวันละทิ้งโครงการอาวุธนิวเคลียร์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับเสถียรภาพระบอบตระกูลคิม
อย่างไรก็ดี นายรยูมองในแง่ดีว่า การขึ้นมาของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐคนใหม่ จะทำให้สถานการณ์ดังกล่าวแตกต่างไปจากสมัยที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำสหรัฐ ที่มีความตึงเครียดกับเกาหลีเหนือ
เนื่องจากนายไบเดนมีประสบการณ์แก้ปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน จึงสามารถแก้ปัญหานิวเคลียร์เกาหลีเหนือได้อย่างชาญฉลาด
—————————————————————————————————————————————————————
ที่มา : ข่าวสดออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 3 กุมภาพันธ์ 2564
Link : https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_5869555