ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวว่า “การก่ออาชญากรรม” ต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบปีที่ผ่านมา “ไม่ใช่นิสัยพื้นฐานของความเป็นอเมริกัน” และ “ต้องยุติ”
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 มี.ค. ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวในช่วงหนึ่งของการแถลงเกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 เมื่อวันพฤหัสบดี ว่าสหรัฐมีอัตราการเกิด “อาชญากรรมจากอคติ” หรือ “อาชญากรรมจากความเกลียดชัง” ต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ในระดับที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบปีที่ผ่านมา ทั้งในรูปแบบของการประทุษร้ายโดยตรงต่อร่างกาย การใช้วาจาเหยียดหยามดูหมิ่น และการโยนความผิดให้อีกฝ่าย “เป็นแพะรับบาป”
ผู้นำสหรัฐกล่าวต่อไปว่า อเมริกาเผชิญกับวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 มานาน 1 ปีแล้ว ทุกฝ่ายร่วมกันต่อสู้ด้วยความอดทน โดยเฉพาะบุคลากรการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้า ที่จำนวนไม่น้อยมีเชื้อสายเอเชีย แต่ทุกคนพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อช่วยเหลือชาวอเมริกันทั้งประเทศให้รอดพ้นจากวิกฤติด้านสาธารณสุขครั้งนี้ โดยไม่หวั่นเกรงว่า ตัวเองคือกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการได้รับเชื้อ
Biden calls out the rise in hate crimes against Asian Americans during the pandemic, saying they're "attacked, harassed, blamed and scapegoated"
"They are forced to live in fear for their lives just walking down streets in America. It's wrong, it's un-American and it must stop" pic.twitter.com/GRkWzXWzd2
— CBS News (@CBSNews) March 12, 2021
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเวลาใช้ชีวิตอย่างปกติ กลุ่มคนเชื้อสายเอเชียกลับต้องเดินออกจากบ้านด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้ายหรือไม่ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีกต่อไป เขาขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนร่วมกันยุติความรุนแรงลักษณะนี้
ถ้อยแถลงดังกล่าวของไบเดนเกิดขึ้นหลังการลงนามในบันทึกข้อความของผู้นำสหรัฐ เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ประณามการเลือกปฏิบัติต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และชาวอเมริกันเชื้อสายกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก ในช่วงที่บ้านเมืองกำลังเผชิญกับวิกฤติโรคระบาดโควิด-19
แม้อาชญากรรมจากความเกลียดชัง ที่มีปัจจัยจากเชื้อชาติและศาสนาในสหรัฐ ลดลงอย่างมากในภาพรวมตลอดปีที่แล้ว แต่รายงานขององค์กรสนับสนุนชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและแปซิฟิก ระบุว่า ในช่วงเวลาเดียวกัน ได้รับรายงานการเกิดเหตุร้ายต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและแปซิฟิก เพิ่มขึ้นเกือบ 150% ในเมืองใหญ่ของสหรัฐ โดยเฉพาะที่นครนิวยอร์กและนครลอสแอนเจลิส.
——————————————————————————————————————————————————–
ที่มา : เดลินิวส์ / วันที่เผยแพร่ 12 มี.ค.2564
Link : https://www.dailynews.co.th/foreign/830553