เปิดหลักสากล การใช้กระสุนยาง สลายการชุมนุม
แนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการใช้อาวุธร้ายแรงต่ำ ออกโดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชอาร์) โดยเอกสาร ระบุเอาไว้ถึง แนวปฏิบัติการใช้อาวุธวิถีโค้งที่มีแรงกระแทก (KINETIC IMPACT PROJECTILES) ซึ่งประกอบไปด้วย กระสุนยาง กระสุนพลาสติก กระสุนถุงถั่ว เป็นต้น
เอกสารระบุว่า
-
- สถานการณ์ที่อาจนำกระสุนยางมาใช้ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
-
- กระสุนยางควรถูกใช้ในการเล็งยิงไปที่ช่องท้องส่วนล่าง หรือขา ของบุคคลที่ใช้ความรุนแรงเท่านั้น และเฉพาะกรณีที่เล็งเห็นว่ากำลังจะเกิดอันตรายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือสาธารณชน
ความเสี่ยงพิเศษ
-
- การเล็งไปที่หน้าหรือศีรษะอาจส่งผลให้ศีรษะแตกสมองได้รับบาดเจ็บ เกิดอันตรายต่อดวงตารวมไปถึงอาจก่อให้เกิดอาการตาบอดถาวร หรืออาจเสียชีวิตได้ การยิงกระสุนยางจากทางอากาศหรือที่สูง เช่น ระหว่างการชุมนุม มีแนวโน้มจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะยิงโดนศีรษะของผู้ชุมนุม การยิงไปที่ลำตัวผู้ชุมนุมอาจก่อให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะสำคัญ และอาจทะลุลำตัวผู้โดนยิง โดยเฉพาะเมื่อยิงในระยะใกล้ ขนาดของลำกล้องและความเร็วของวิถีการยิง รวมไปถึงส่วนประกอบอื่น ล้วนส่งผลต่อการก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บและความรุนแรงของการบาดเจ็บนั้นทั้งสิ้น
-
- การใช้กระสุนยางที่จะเป็นไปตามหลักสากล ต้องเป็นการยิงจากกระสุนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 10 เซนติเมตรและยิงตรงไปยังเป้าเท่านั้น การยิงกระสุนลงพื้นอาจสร้างให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจยอมรับได้เนื่องจากความไม่แม่นยำของวิถีกระสุน
สถานการณ์ที่การนำกระสุนยางมาใช้อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย
-
- กระสุนยางไม่ควรยิงในโหมดอัตโนมัติ
-
- การยิงทีละหลายๆ นัด ในคราวเดียวกันนั้นโดยทั่วไปไม่มีความแม่นยำ การยิงเช่นนั้นยังขัดต่อหลักความจำเป็นและได้สัดส่วน กระสุนโลหะ เช่น ที่ยิงจากปืนสั้น (shotguns) ไม่ควรนำมาใช้
-
- กระสุนควรมีการนำไปทดสอบและได้รับการอนุมัติให้ใช้ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีความแม่นยำเพียงพอที่จะใช้ยิงไปในบริเวณที่ปลอดภัยต่อเป้าหมายที่มีขนาดเท่ามนุษย์ ในระยะที่กำหนด และโดยไม่ใช้รุนแรงเกินควร ซึ่งอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บ
-
- การใช้กระสุนยางไม่ควรเล็งไปที่หัว หน้าหรือคอ กระสุนโลหะหุ้มยางเป็นอันตราย ไม่ควรนำมาใช้
———————————————————————————————————————————————————————
ที่มา : มติชนออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 1 มีนาคม 2564
Link : https://www.matichon.co.th/foreign/news_2602112