เอพี
“เคเอสเอ็ม” เดอะ มาสเตอร์มายด์
ตอนที่ อับดุล บาซิท อับดุล คาริม ใช้พาสปอร์ตปากีสถาน เดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาในชื่อ “รามซี ยูเซฟ” เพื่อวางระเบิดอาคารเวิร์ลด์เทรด เซนเตอร์เมื่อปลายปี 1992 นั้น
คาหลิด เชค โมฮัมเหม็ด ยังคงอยู่ในคูเวต ส่วน อับดุล ฮาคิม มูรัด เพิ่งกลับมาหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกอบรมเป็นนักบินในสหรัฐอเมริกาแล้ว
โมฮัมเหม็ด ทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ และมีส่วนร่วมในการ “ระดมทุน” เพื่อการก่อการร้ายครั้งนี้ โดยส่งเงินไปให้ บาซิท เป็นจำนวน 660 ดอลลาร์ เพื่อสมทบเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อการร้าย ซึ่ง บาซิท คาดว่าจะใช้เงินทั้งสิ้นราว 3,000 ดอลลาร์
แผนง่ายๆ ของบาซิท ก็คือ หารถแวนคันหนึ่ง บรรจุระเบิดเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะจัดหาได้ แล้วขับเข้าไปจอดไว้ในลานจอดรถใต้ดิน อาคารเหนือ ของอาคารแฝด เวิร์ลด์เทรด เซนเตอร์ คาดหวังว่า เมื่อเกิดระเบิดขึ้น ตึกเหนือ จะโค่นลงหา อาคารด้านใต้ พากันถล่มลงสู่พื้นทั้งหมด
ระเบิดในรถแวน ระเบิดขึ้นจริงเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1993 เพียงแต่ไม่มีอานุภาพพอที่จะถล่มอาคารทั้งหลังลงมา
กระนั้น การก่อการร้ายครั้งนั้นก็สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นหลายล้านดอลลาร์ คร่าชีวิตคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยไปอีก 6 คน
บาซิท เดินทางกลับปากีสถาน ด้วยสายการบินปากีสถาน อินเตอร์เนชันแนล ในที่นั่งชั้นธุรกิจ จากท่าอากาศยานจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ มาสมทบกับ โมฮัมเหม็ด อีกครั้งที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ในย่านชาร์ฟาบัด ย่านที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลางในนครการาจี
สิ่งที่ทั้งสองได้ตระหนักในเวลานั้นก็คือ พวกเขาสามารถใช้วิธีการทำนองเดียวกันนี้ ทำร้ายศัตรูของมุสลิมได้อย่างสาหัส ไม่เฉพาะแต่ในสหรัฐอเมริกา แต่สามารถทำได้ในทุกหนแห่งทั่วโลกทุกที่ที่เครือข่ายของพวกเขาสามารถเอื้อมมือไปถึงได้
เป้าหมายแรกของพวกเขาคือ กรุงมะนิลา!
พวกเขาเลือก ฟิลิปปินส์ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นฐานปฏิบัติการก่อการร้ายที่ดีได้ ค่าครองชีพต่ำ มุสลิมหัวรุนแรงสุดโต่งมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม อาบู ไซยัฟ หรือ แนวร่วมปลดแอกโมโรมุสลิม ที่หลายคนเคยรู้จักมักคุ้นกันตั้งแต่เมื่อครั้งร่วมค่ายฝึกก่อการร้ายในอัฟกานิสถาน
โมฮัมเหม็ด กับ บาซิท เดินทางมามะนิลาในราวต้นปี 1994 แต่ก่อนหน้านั้น โมฮัมเหม็ด เคยเดินทางเข้าออกฟิลิปปินส์มาแล้วหลายครั้ง
ในมะนิลา “วาลี ข่าน อามิน ชาห์” ซึ่งคุ้นเคยกันดีเพราะเคยฝึกก่อการร้ายร่วมกันในอัฟกานิสถานมาสมทบ
บาซิท เรียกตัว อับดุล ฮาคิม มูรัด มาจากคูเวต เพื่อร่วมปฏิบัติงานครั้งนี้
ทั้งหมดแยกย้ายกันพักอาศัยในหลายสถานที่ เปลี่ยนที่อยู่บ่อยครั้ง ก่อนมาลงเอยที่ โรงแรมกึ่งอพาร์ตเมนต์ ดอนนา โจเซฟา บนถนนสายหลักในกรุงมะนิลา
เหตุผลที่ต้องปักหลักอยู่ที่นั่น เป็นเพราะใกล้เคียงกับ สถานเอกอัครราชทูตวาติกัน ประจำฟิลิปปินส์ เป้าหมายของพวกเขา
ในเดือนมกราคมปี 1995 องค์สมเด็จพระสันตปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 มีกำหนดจะเสด็จฯเยือนมะนิลาอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 1 สัปดาห์
โมฮัมเหม็ด กับพวก จะ ลอบสังหารพระสันตปาปา ในช่วงเวลานั้น!
ปลายปี 1994 บาซิท ใช้ห้องเช่าที่ โจเซฟา เป็นแหล่งสะสมสารพัดวัสดุสำหรับใช้ประกอบระเบิด ตั้งแต่ ไนโตรกลีเซอรีน, กรดไซตริก, กรดไนตริก, สายไฟ, เชื้อปะทุ, ก้อนสำลีขนาดใหญ่ และ นาฬิกาตั้งเวลา
แผนก็คือ จะใช้มือระเบิดฆ่าตัวตายติดระเบิดที่สามารถจุดชนวนจากระยะไกล สวมรอยเป็นบาทหลวงเพื่อเข้าใกล้องค์สันตปาปาแล้วจุดชนวนระเบิด
ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อมีข่าวว่า ประธานาธิบดีบิล คลินตัน มีกำหนดเยือนมะนิลาอย่างเป็นทางการด้วยในเวลาไล่เรี่ยกัน โมฮัมเหม็ด กับพวก ก็ขยายแผนลอบสังหารให้ครอบคลุมอดีตประธานาธิบดีอเมริกันด้วย
แผนเหล่านั้นถูกระงับไป เพราะเกิดข่าวลือถึงการ “ลอบปลงพระชนม์” หนาหู จนทางการฟิลิปปินส์ยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยขึ้นเข้มงวด ชนิดที่ทำให้โมฮัมเหม็ดและพวกไม่คิดว่าจะฝ่าเข้าไปได้
คนทั้งหมดทุ่มความสนใจให้กับแผนใหม่ แผนวางระเบิดเครื่องบินโดยสารข้ามแปซิฟิกร่วม 10 ลำ แต่ละลำมีผู้โดยสารไม่น้อยกว่า 300 คน
ตามรายละเอียดที่พบในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของ บาซิท พวกเขาจะใช้วิธีลักลอบนำระเบิดขึ้นไปไว้บนเครื่องบินโดยสารเที่ยวบินระหว่างเอเชียกับสหรัฐอเมริกาเหล่านั้น ตั้งเวลาระเบิดล่วงหน้านานๆ โดยอาศัยนาฬิกาที่สามารถตั้งเวลาข้ามปีได้
บาซิท ทดลองแผนของพวกเขา 2 ครั้ง ครั้งแรก เป็นการวางระเบิดขนาดย่อมไว้ที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในกรุงมะนิลา ที่เกิดระเบิดขึ้นในขณะที่ไม่มีใครอยู่เลย
อีกครั้ง ใช้ระเบิดขนาดใหญ่ขึ้น ลอบนำไปซุกไว้ใต้ที่นั่งเครื่องบิน ฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ บินจากมะนิลาสู่โตเกียว ระเบิดทำลายลำตัวเครื่องบินเป็นรูขนาดใหญ่ คร่าชีวิตนักธุรกิจญี่ปุ่นรายหนึ่ง แต่นักบินยังประคองเครื่องลงจอดฉุกเฉินได้สำเร็จ
ระหว่างเตรียมการขั้นสุดท้าย บาซิท พลั้งเผลอทำให้เกิดไฟไหม้จากปฏิกิริยาของสารเคมีขึ้นในอพาร์ตเมนต์ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจค้นพบวัสดุ อุปกรณ์ จัดทำระเบิดทั้งหมด
ว่ากันว่า ตำรวจฟิลิปปินส์ถึงกับต้องใช้รถตู้ขนาดใหญ่ 2 คันถึงสามารถขนหลักฐานทั้งหมดได้
มูรัด ถูกจับในคืนที่เกิดไฟไหม้ บาซิท เล็ดรอดหลบหนีไปได้ แต่ถูกจับกุมในอีก 1 เดือนต่อมาในปากีสถาน ส่วน ชาห์ ถูกจับกุมที่มาเลเซีย
คนเดียวที่ลอยนวลคือ คาหลิด เชค มูฮัมเหม็ด!
ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงข่าวกรอง เชื่อว่า คาหลิด เชค โมฮัมเหม็ด กับ อับดุล บาซิท อับดุล คาริม มีสัญชาติญาณการเป็น “นักฆ่า” มากกว่าการเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่เปี่ยมไปด้วยอุดมการ
“อุดมการ” สำหรับคนทั้งสอง เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อให้พวกเขาสามารถ “ฆ่าได้” อย่างสาสมใจเท่านั้น
โมฮัมเหม็ดกับบาซิท ถึงได้เลือกเป้าหมายได้อย่างอิสระ ทะเยอทะยานกับการ “ฆ่าให้ได้มากที่สุด” เหนือสิ่งอื่นใด
นอกจากแผนลอบปลงพระชนม์สันตปาปา ลอบสังหารประธานาธิบดี และ วางระเบิดเครื่องบินโดยสารนับสิบลำแล้ว เจ้าหน้าที่ยังพบด้วยว่า ทั้งคู่มีแผนก่อการร้ายอีกมากมายอยู่ในมือ มีทั้ง แผนการลอบวางระเบิดในอิหร่าน, แผนการวางระเบิดโจมตีสถานกงสุล ทั้งในปากีสถานและในประเทศไทย เป็นอาทิ
ในคำแถลงให้ปากคำเป็นลายลักษณ์อักษรต่อศาลทหารที่กวนตานาโม โมฮัมเหม็ด ไล่เรียงลำดับถึงแผนการก่อการร้ายต่างๆ ที่ตนเองมีส่วนร่วมอยู่ด้วย นับรวมแล้วมากถึง 31 เหตุการณ์ด้วยกัน
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ในแวดวงข่าวกรองอเมริกันเอง ไม่เคยยึดถือว่า โมฮัมเหม็ด เป็นผู้ก่อการร้ายคนสำคัญ จนกระทั่ง 1 ปีให้หลัง หลังเหตุการณ์ 9/11
เอฟบีไอ รู้ว่า โมฮัมเหม็ด มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางระเบิดเวิร์ลด์เทรด เซนเตอร์ครั้งแรก จากหลักฐานการโอนเงิน 660 ดอลลาร์ แต่คิดว่าเขาเป็นเพียงเบี้ยตัวเล็กๆ ของ บาซิท เท่านั้น
ซีไอเอ รู้ว่า เขามีบทบาทสำคัญในแผนการวางระเบิดสายการบินที่ฟิลิปปินส์ แต่ไม่คิดว่า โมฮัมเหม็ด จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอัลเคด้า และแผนก่อการ 9/11 แต่อย่างใดทั้งสิ้น
ฤดูใบไม้ผลิ ปี 2002 หลังเหตุการณ์ 9/11 ไมเคิล เฮย์เดน ผู้อำนวยการซีไอเอในเวลานั้น ให้การต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการวุฒิสภา ยอมรับว่า ซีไอเอ ไม่รู้ว่า โมฮัมเหม็ด คือ “ผู้บงการ” เหตุการณ์ 9/11 ตัวจริง จนกระทั่งผู้ที่ถูกจับกุมรายหนึ่งระบุชื่อของเขาออกมา
หลังจากนั้น โมฮัมเหม็ด จึงเป็นที่รู้จักกันในวงการข่าวกรองในชื่อ “เคเอสเอ็ม” ผู้วางแผน “มาสเตอร์มายด์” 9/11 ตัวจริง
หลังเหตุการณ์ที่ฟิลิปปินส์ โมฮัมเหม็ด กบดานเงียบอยู่นานร่วมปีในประเทศกาตาร์ เมื่อถึงปี 1997 ถึงได้กลับมาการาจี ปากีสถานอีกครั้ง เดินทางตระเวณไปในหลายประเทศ บราซิล, บอสเนีย, ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย
หนึ่งในการเดินทางของ โมฮัมเหม็ด คือการเยือน โทราโบรา แหล่งกบดานของ โอซามา บิน ลาเดน และอัลเคด้าในอัฟกานิสถาน
เพื่อพบหารือกันถึงแผนการก่อการร้ายครั้งใหญ่ แผนการ 9/11 “วันอังคารศักดิ์สิทธิ์” ของ โมฮัมเหม็ด ที่เจ้าตัวยืนยันในภายหลังว่า เป็นเพราะต้องการใช้ “ทรัพยากร” ของอัลเคด้า
โมฮัมเหม็ด ขยายแผนการโดยละเอียดให้ บิน ลาเดน รับรู้ แต่ยืนกรานต้องเป็นผู้รับผิดชอบแผนทั้งหมดด้วยตัวเอง
บิน ลาเดน ให้ความเห็นชอบตามแผนการของโมฮัมเหม็ด หลังมีการปรับแต่งรายละเอียดเล็กน้อยในราวปลายปี 1999 เปิดทางให้ โมฮัมเหม็ด ดำเนินการตามแผนได้อย่างเต็มที่
เหตุการณ์ต่อมาหลังจากนั้น คือ ประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่เจ็บปวดที่สุดของสหรัฐอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้
ผู้เขียน : ปิยมิตร ปัญญา
—————————————————————————————————————————————————–
ที่มา : มติชนออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 21 ก.ย.2564
Link : https://www.matichon.co.th/foreign/indepth/news_2948253