รายงานล่าสุดจาก Reuters เผยว่า นักการเมืองในสหรัฐอเมริกากลุ่มหนึ่งต้องการให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden) เพิ่ม Honor อดีตบริษัทลูกของ Huawei อยู่ในแบล็กลิสต์ของอเมริกา ซึ่งก่อนหน้านี้ Honor สามารถส่งสมาร์ตโฟนที่มีบริการของ Google กลับสู่ท้องตลาดได้แล้ว
Huawei ถูกสหรัฐอเมริกาตั้งแบล็กลิสต์ในปี 2019 โดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ซึ่งอ้างว่าบริษัทเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ทำให้ Huawei ถูกตัดขาดจากการเข้าถึงสินค้าและเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ รวมถึงชิปและบริการจาก Google
Honor ทำการตลาดแบบเน้นเป้าหมายไปที่กลุ่มผู้บริโภควัยเยาว์ ที่มีข้อจำกัดเรื่องงบสำหรับการซื้อสมาร์ตโฟน รวมทั้งมีการขายสินค้าอื่น ๆ เช่น สมาร์ตวอตช์ และเกมมิงแล็ปท็อป ในเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา Huawei ขาย Honor เพื่อให้แบรนด์ลูกอย่าง Honor ได้เป็นอิสระจากการแบนของสหรัฐฯ
การตัดสินใจดังกล่าวทำให้ในที่สุด Honor หลุดออกจากการแบนของสหรัฐฯ และสามารถทำการค้ากับบริษัทอย่าง Qualcomm, Google, Microsoft, AMD, Intel, MediaTek, Samsung และ Sony ได้
วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันเชื่อว่า Honor ยังเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติและได้ขอให้รัฐบาลขึ้นบัญชีดำ (blacklist) โดยอ้างว่า Honor เปรียบเสมือนแขนของรัฐบาลจีนที่ปัจจุบันกำลังเพลิดเพลินกับการเข้าถึงเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่ได้รับการถกเถียงมาระยะหนึ่งแล้ว โดยในเดือนสิงหาคม กลุ่มสมาชิกสภาคองเกรสของพรรครีพับลิกันนำโดย ไมเคิล แมคคอล (Michael McCaul) ขอให้กระทรวงพาณิชย์ตั้ง Honor อยู่ในแบล็กลิสต์ พร้อมอ้างว่า Huawei ขาย Honor เพื่อให้สามารถเข้าถึงชิปและซอฟต์แวร์ที่บริษัทไม่สามารถซื้อได้
ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน หน่วยงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยก็มีความเห็นในเรื่องนี้ต่างกัน โดยกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ และกระทรวงพลังงานสนับสนุนให้ Honor อยู่ในบัญชีดำ แต่กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศกลับมีความเห็นตรงกันข้าม ส่งผลให้การตัดสินใจจะตกมาอยู่ที่โจ ไบเดน
หาก Honor ถูกแบนอีกครั้งก็จะส่งผลให้บริษัทในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบเหมือนกับการแบน Huawei เพราะ Huawei เป็นหนึ่งในแบรนด์สมาร์ตโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีซัพพลายเออร์ส่วนใหญ่เป็นบริษัทอเมริกัน ทำให้บริษัทเหล่านี้มียอดขายลดลงจากคำสั่งแบนของทรัมป์
—————————————————————————————————————————————–
ที่มา : Beartai / วันที่่เผยแพร่ 17 ต.ค.2564
Link : https://www.beartai.com/news/itnews/819115