ผู้ติดตามข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในสหรัฐคงทราบแล้วว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาศาลในรัฐจอร์เจียตัดสินว่าชายผิวขาว 3 คนมีความผิดฐานฆ่าชายผิวดำ แต่วิบากกรรมของชาย 3 คนนั้นยังไม่จบ
พวกเขาจะต้องขึ้นศาลของรัฐบาลกลางต่อไปในข้อหาฆ่าผู้อื่น เพียงเพราะสีผิวของผู้นั้นต่างกับของตน คดีเกิดจากเหตุการณ์สยองขวัญในช่วงต้นปีที่แล้ว เมื่อผู้ตายวิ่งออกกำลังกายผ่านไปในย่านของคนผิวขาว ฆาตกรดังกล่าวใช้รถกระบะ 2 คันไล่เขาไปตามถนนจนเขาจนมุมจึงยิงเขาตาย
ทั้งที่มีหลักฐานแจ้งชัด แต่ตำรวจไม่ยอมจับชาย 3 คนนั้นเพราะอัยการผิวขาวเข้าข้างฆาตกร เมื่อเรื่องถูกเผยแพร่ออกมา ฆาตกรจึงถูกจับดำเนินคดี อัยการที่เข้าข้างฆาตกรกำลังอยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีเช่นกัน
ในปัจจุบัน เหตุการณ์อันเนื่องมาจากการหยามผิวยังเกิดขึ้นบ่อยโดยเฉพาะทางภาคใต้ของสหรัฐ เรื่องนี้อาจเป็นที่แปลกใจของคนจำนวนมากเนื่องจากสหรัฐประกาศเลิกทาสโดยการจารึกไว้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้ว 156 ปีและมีกฎหมายให้คนผิวทุกสีมีสิทธิ์เท่าเทียมกันมาแล้ว 55 ปี แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญและการตรากฎหมายใหม่เปลี่ยนใจของคนผิวขาวจำนวนมากไม่ได้เพราะในบ้านยังสอนให้ลูกหลานหยามผิว คดีที่อ้างถึงเป็นตัวอย่างชั้นดีของประเด็นนี้เพราะฆาตกร 2 คนเป็นพ่อกับลูก
การหยามผิวของชาวอเมริกันผิวขาวเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษที่ไปบุกรุกและบุกเบิกแผ่นดินในทวีปอเมริการวมทั้งส่วนที่อยู่ในครอบครองของชาวพื้นเมืองผิวคล้ำอยู่ก่อนแล้ว แรงงานที่ใช้ในการบุกเบิกส่วนหนึ่งได้มาจากคนผิวดำที่ถูกจับจากแอฟริกาไปขายในฐานะทาส คนผิวขาวเอาชนะชาวพื้นเมืองผิวคล้ำและคนผิวดำได้เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่า ประเด็นนี้มีข้อมูลสนับสนุนอยู่ในหนังสือชื่อ Guns, Germs and Steel (มีบทคัดย่อภาษาไทยอยู่ในเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา www.bannareader.com)
การมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้คนผิวขาวหยามคนผิวอื่นถึงขนาดไม่นับเป็นคน แนวคิดนี้แสดงออกมาเป็นที่ประจักษ์เมื่อพวกเขาประกาศแผ่นดินที่บุกรุกและบุกเบิกใหม่เป็นประเทศเอกราชเมื่อปี 2319 กล่าวคือ รัฐธรรมนูญของสหรัฐไม่นับทาสและชาวพื้นเมืองดั้งเดิมเป็นคนยังผลให้ข้อความในรัฐธรรมนูญที่เขียนว่า “คนทั้งหมดเกิดมาเท่าเทียมกัน” (all men are created equal) เป็นเพียงข้อความหลอกลวงเพราะมันหมายถึงเฉพาะคนผิวขาวเท่านั้น ลูกหลานของชาวผิวขาวส่วนหนึ่งจึงยึดแนวคิดแสนประหลาดนั้นมาจนทุกวันนี้ ชาวเอเชียที่เข้าไปอยู่ในสหรัฐในเวลาต่อมาก็ถูกคนผิวขาวเหล่านั้นหยามเช่นเดียวคนผิวคล้ำและคนผิวดำด้วย
ในขณะที่คนผิวขาวส่วนหนึ่งหยามคนผิวอื่นอยู่นั้น สังคมอเมริกันส่วนใหญ่เปิดกว้างให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาและหาทางสร้างฐานะทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้ที่มีความกระตือรือร้นโดยเฉพาะคนเอเชียที่เพิ่งเข้าไปอยู่ในสหรัฐไม่นาน จึงมักมีการศึกษาและฐานะดีกว่าคนผิวขาวดังกล่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ
ความจริงข้อนี้เป็นสิ่งที่คนผิวขาวเหล่านั้นรับไม่ได้ พวกเขาจึงมีความแค้นเคืองฝังอยู่ในใจแบบเป็นไฟสุมขอนมานานและกลายเป็นฐานทางการเมืองสำคัญของพรรครีพับลิกันในช่วงนี้ซึ่งมีอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นผู้นำหลัก
ความแค้นเคืองดังกล่าวเป็นพลังผลักดันให้เกิดความแตกแยกร้ายแรงที่แสดงออกมาในรูปต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้แก่เหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา เมื่อคนผิวขาวจำนวนมากบุกเข้าไปในรัฐสภา เพื่อขัดขวางพิธีรับรองการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่นายทรัมป์พ่ายแพ้
เหตุการณ์นั้นมีค่าเท่ากับความพยายามทำรัฐประหารพร้อมการฉีกรัฐธรรมนูญที่คนเหล่านั้นไม่พอใจ เพราะได้แก้ไขให้คนผิวอื่นมีโอกาสเท่าเทียมกับพวกตนอย่างแท้จริง
แม้การทำรัฐประหารจะไม่สำเร็จ แต่ความพยายามของคนผิวขาวดังกล่าวและพรรคริพับลิกันยังดำเนินต่อไปโดยเฉพาะในด้านการหาทางจำกัดการใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งของคนผิวดำ ความพยายามนี้จะทำให้ความแตกแยกร้ายแรงดำเนินต่อไปส่งผลให้การเลือกตั้ง 2 ครั้งหน้าถึงกับประสบปัญหาสาหัส
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / วันที่เผยแพร่ 3 ธ.ค.2564
Link : https://www.bangkokbiznews.com/columnist/975387