“ดีอีเอส” ชี้แนวโน้มเผยแพร่ข่าวปลอมลดลง แต่เฟคนิวส์เรื่องโควิดยังครองแชมป์

Loading

  โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมือง เปิดข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม พบจำนวนข้อความที่ต้องคัดกรองลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง แต่เฟคนิวส์โควิดยังครองสูงเฉียด 80% น.ส.นพวรรณ หัวใจมั่น โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า กระทรวงดีอีเอส โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ได้ทำการสรุปผลการมอนิเตอร์ และรับแจ้งข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 13-19 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมีจำนวนข้อความที่เข้ามา 11,561,183 ข้อความ แนวโน้มลดลงสองสัปดาห์ติดต่อกัน ซึ่งหลังจากคัดกรอง พบข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) จำนวน 202 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 112 เรื่อง ในจำนวนนี้เป็นข่าวเกี่ยวกับโควิด 83 เรื่อง อีกทั้งพบว่าข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือนในรอบสัปดาห์นี้ สัดส่วนหลักๆ อยู่ในหมวดหมู่ข่าวนโยบายรัฐ ขณะที่จากการจัดอันดับข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจ 3 อันดับแรกในรอบสัปดาห์นี้ ได้แก่ เรื่องคลื่นความหนาวปกคลุมประเทศไทยทุกภาค ตั้งแต่ 24.00 น. คืนนี้เป็นต้นไป เรื่อง ธ.กรุงไทยเตรียมมอบเงินให้ประชาชน นำบัตร ปชช.ยืนยันตัวตนที่ตู้เอทีเอ็ม อายุ 18-59 ได้ 25,000/เดือน อายุ 60 ขึ้น 15,000/เดือน…

เปิดบันทึกลับกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯเตือน ‘คาบูล’ จะกรุงแตก

Loading

  ” เปิดบันทึกลับภายในของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯเตือน “แอนโทนี บลิงเค่น” ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้วว่า กรุงคาบูลจะแตก หลังกำหนดเส้นตายสหรัฐฯ ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน “ วันนี้ ( 20 ส.ค. 64 )The Wall Street Journal รายงานเมื่อว่า บันทึกภายในของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเป็นความลับ ลงวันที่ 13 เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เตือนว่า กรุงคาบูล เมืองหลวงอัฟกานิสถาน จะแตก หลังจากวันเส้นตายถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถาน 31 สิงหาคมนี้ กลุ่มตาลีบันจะบุกยึดดินแดนอย่างรวดเร็ว และกองทัพอัฟกานิสถานจะล่มสลาย The Wall Street Journal รายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลสหรัฐฯ และบุคคลที่คุ้นเคยกับเอกสารลับภายในของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯผู้ที่ได้รับคำเตือนดังกล่าว คือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ รวมถึง แอนโทนี บลิงเค่น รัฐมนตรีต่างประเทศ บันทึกลับฉบับนี้ นับเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับการเตือนจากเจ้าหน้าที่ของตัวเองที่อยู่ในพื้นที่ว่า การบุกของกลุ่มตาลีบันใกล้จะเริ่มขึ้น และกองทัพอัฟกานิสถานอาจไม่สามารถหยุดยั้งตาลีบันได้ และเปิดเผยออกมาท่ามกลางเสียงดังกระหึ่มตำหนิติเตียนรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดนว่า…

อินโดนีเซีย ดัดแปลงหุ่นยนต์สำหรับใช้งานในหมู่บ้านมาให้บริการประชาชนในช่วงวิกฤตโควิด-19

Loading

The ‘Delta robot’ was designed by university lecturers and local residents who built it from old household items. (Reuters Photo)   นักวิทยาศาสตร์ในอินโดนีเซียทำการดัดแปลงหุ่นยนต์ที่ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งประดิษฐ์ขึ้นมาเล่นๆ ให้มาทำหน้าที่ใหม่ เพื่อบริการประชาชนในช่วงที่วิกฤตโคโรนาไวรัสยังคงอยู่ในระดับที่รุนแรงอยู่นี้ หุ่นยนต์ประดิษฐ์พื้นบ้านของอินโดนีเซียตัวนี้ ไม่ได้มีความก้าวล้ำนำสมัย หรือประกอบด้วยวัสดุชั้นยอดเหมือนของญี่ปุ่นหรือประเทศอื่นใด เพราะหุ่นตัวนี้ถูกประกอบขึ้นจากของใช้ในครัวเรือนธรรมดาๆ เช่น หม้อ กระทะ และเครื่องรับโทรทัศน์เก่าๆ แต่ปัจจุบัน หุ่นยนต์ที่มีต้นกำเนิดเพียงเพื่อความสนุกนี้ กลับมีหน้าที่สำคัญในการนำส่งอาหารไปให้ผู้ป่วยโควิด-19 ในอินโดนีเซีย ที่ต้องยิ้มทุกครั้ง ที่ได้รับบริการจากหุ่นที่เพิ่งได้รับชื่อใหม่ว่า “หุ่นเดลตา” ตามชื่อไวรัสกลายพันธุ์ที่กำลังระบาดหนักไปทั่วโลกในขณะนี้ อาเซยานโต ผู้นำชุมชนที่เป็นหัวเรือในโครงการ “หุ่นเดลตา” นี้ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ตนตัดสินใจดัดแปลงให้หุ่นกระป๋องธรรมดาๆ กลายมาเป็นผู้รับหน้าที่ให้บริการสาธารณะ เช่น ฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อ นำส่งอาหาร และช่วยเหลือประชาชนที่ติดเชื้อโคโรนาไวรัสและต้องแยกออกมากักตัวเฝ้าระวังอาการ หุ่นยนต์ที่ทำงานโดยการบังคับทางไกลด้วยรีโมทคอนโทรลนี้ ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาหลายตัวเพื่อช่วยงานในหมู่บ้าน เทมบ็อก เกเด…

ย้อนดูเหตุการณ์กลุ่มตาลิบันบุกยึดอัฟกานิสถาน

Loading

กลุ่มตาลิบันเริ่มปฏิบัติการบุกยึดเมืองเมื่อราวสามเดือนที่แล้ว ยึดอำเภอเนิร์ค ซึ่งอยู่ติดกับกรุงคาบูลได้เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม และยึดเมืองจาลาลาบัดได้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ทำให้เข้าล้อมกรุงคาบูลได้สำเร็จ โดยประธานาธิบดีอัชราฟ กานี ของอัฟกานิสถาน หลบหนีออกนอกประเทศในวันดังกล่าว   1 2 3 4 5 6 7 (ที่มา: สำนักข่าว Reuters) ———————————————————— Link : https://www.voathai.com/a/taliban-timeline/6006722.html โดย : voathai.com/ 18 สิงหาคม 2564

อินฟอร์’ แนะเคล็ดลับ ก้าวสู่ยุคใหม่ ‘เวิร์คฟรอมโฮม’

Loading

  การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน ต่างต้องพิจารณาทำแผนการทำงานที่บ้าน หรือ “เวิร์คฟรอมโฮม” เพื่อลดความแออัด การเดินทาง และความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผลสำรวจโดย “การ์ทเนอร์” เมื่อเร็ว ๆ นี้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้จะยังคงอยู่ตลอดไป โดยมีผู้บริหารองค์กรจำนวนสูงถึง 82% วางแผนให้พนักงานทำงานจากระยะไกลในอนาคต ฟาบิโอ ทิวิติ รองประธาน ประจำภูมิภาคอาเชียน บริษัท อินฟอร์ เปิดมุมมองว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่องค์กรพึงตระหนักถึงในการจัดทำแผนกลยุทธ์ระยะยาว คือ “ต้องใช้กลยุทธ์ที่ครอบคลุมพร้อมประเมินความเป็นไปได้ระยะยาว” ซึ่งองค์กรต้องมองภาพรวมให้รอบคอบก่อนทำการตัดสินใจ ‘ทางเลือก‘ มากับ ’ความเสี่ยง’ เขากล่าวว่า ไม่มีใครทราบเลยว่า การแพร่ระบาดของโควิดจะสิ้นสุดลงเมื่อใด และโลกของการทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหลังจากเหตุการณ์นี้ แต่ที่แน่ๆ รับรู้ได้ถึงผลกระทบและปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตนี้ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงมากมายที่ได้ประสบในช่วง 12-18 เดือนที่ผ่านมา ทั้งยังพบว่าการทำงานเสมือนจริงไม่ว่าจะเป็นแบบไฮบริดที่ทำงานจากบ้านหรือจากที่ใดก็ตาม หรือเข้าออฟฟิศทุกวันเต็มเวลาจะยังคงอยู่ต่อไปอีกนาน อย่างไรก็ดี ในมุมหนึ่งโควิดให้โอกาสพิสูจน์แนวคิดเรื่องการทำงานจากที่บ้านว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่ จากการศึกษาล่าสุดของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแสดงให้เห็นว่า พนักงานที่ได้รับอนุญาตให้เวิร์คฟอร์มโฮมมีความสามารถในการทำงานเพิ่มขึ้น เทียบได้กับการทำงานเต็มวันในทุกสัปดาห์ ยิ่งไปกว่านั้น ผลสำรวจเพิ่มเติมจากรายงานฉบับนี้ยังแสดงให้เห็นว่า เวิร์คฟรอมโฮมทำให้การลาออกของพนักงานลดลง 50% และมีการลาป่วยน้อยลงอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่ตอกย้ำข้อเท็จจริงนี้คือการลดพื้นที่สำนักงานได้ช่วยประหยัดเงินค่าเช่าลงได้อย่างมาก ที่ผ่านมา กลยุทธ์และนโยบายการเวิร์คฟอร์มโฮมส่วนใหญ่เกิดจากการจัดการกับวิกฤติ ซึ่งข้อบ่งชี้ถึงการทำงานระยะยาวแบบนี้เห็นได้ชัดว่า…

‘เอ็นทรัสต์-เอ็มเคกรุ๊ป’ ดึงโซลูชันขั้นสูง อัพเกรดบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด

Loading

‘เอ็นทรัส’ จับมือกับ ‘เอ็มเค กรุ๊ป’ ดึงโซลูชันการออกบัตรขั้นสูง ลงสนามอัพเกรดบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด 50 ล้านใบ สำหรับประชาชนเวียดนาม หวังเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยให้แก่บัตรประจำตัวประชาชน Entrust ผู้ให้บริการชั้นนำด้านข้อมูลการระบุตัวตน การชำระเงิน และการป้องกันข้อมูลขั้นสูง ประกาศว่าบริษัทและ MK Group Joint Stock Company (MK Group) ประเทศเวียดนาม ได้ร่วมกันเปิดตัวโครงการบัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดของเวียดนาม โดย Entrust และ MK Group จะนำเสนอโซลูชั่นเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงพร้อมกับการสนับสนุนภาคสนามร่วมกันในการดำเนินการโครงการนี้ในประเทศเวียดนาม เพื่อให้สามารถออกบัตรประจำตัวสมาร์ทการ์ดได้ 50 ล้านใบแก่พลเมืองโดยเริ่มมาตั้งแต่กุมภาพันธ์ต้นปีนี้     ระบบการออกบัตรและโซลูชั่นซอฟต์แวร์ของ Entrust ร่วมกับ MK Group ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการงานภาคสนามและดูแลการออกบัตรในภูมิภาคต่างๆ ในประเทศ จะช่วยให้ประชาชนเวียดนามชุดแรกกว่า 50 ล้านคนมีบัตรประชาชนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ภายใต้การควบคุมดูแลข้อมูลส่วนบุคคลขั้นสูง บัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดใหม่นี้จะแทนที่และรวมบัตรประจำตัวประชาชนสามแบบหลังที่ทำการออกให้ประชาชน อันได้แก่ บัตรประชาชนแบบเลขประจำตัว 9 หลัก แบบเลขประจำตัว 12 หลัก…