“เราต้องให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับเราให้มากขึ้น ในการป้องกันเหตุร้ายโดยมีการดูแลพื้นที่รอบบ้านของตนเองแต่ละหลัง กำหนดเป็นบล็อกๆ ขยับออกมาอีกหน่อยว่ามีสิ่งใด ผิดปกติ หรือหากเป็นบริษัท ร้านค้า ถ้ามี รปภ.ให้ตรวจออกมาในพื้นที่สาธารณะบริเวณโดยรอบพื้นที่ของท่าน เช่น มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด หากพบสิ่งของ สิ่งใดผิดสังเกตให้แจ้งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน และตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ควบคู่กัน” แนวทางของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ยุติเหตุป่วนพื้นที่ยะลา หลังสิ้นเสียงระเบิดป่วนเมืองหลายจุดในเขตเทศบาลนครยะลา วันที่ 28-29 ม.ค. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง ผู้ช่วย ผบ.ตร. บินด่วนลงพื้นที่ จ.ยะลา ตามคดี
วางแนวทางสืบสวนหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วและปรับแผนการปฏิบัติฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ปกครอง และให้แสวงหาความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนให้ช่วยเป็นหูเป็นตา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ให้ช่วยกันดูแลพื้นที่หน้าบ้าน ข้างบ้าน ซ้ายขวาหน้า หลังบ้านของตัวเองเพื่อตรวจตราดูสิ่งแปลกปลอมทุกวัน
พื้นที่ส่วนกลาง ส่วนรวมในหมู่บ้านที่ช่วยกันดูแลได้ พื้นที่สาธารณะให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายร่วมกันตรวจป้องกัน เรื่องด่านตรวจ จุดตรวจรอยต่อเข้าเมืองต้องตรวจเข้มงวด มีการสังเกต ปรับกลยุทธ์ในการทำงานให้ทันกับคนร้าย และต้องมีการเคลื่อนที่ของกำลังพลสายตรวจอยู่เป็นประจำในพื้นที่เสี่ยงต่างๆให้ครอบคลุมพื้นที่
พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9 นายภิรมย์ นิลทะยา ผวจ.ยะลา พล.ต.ทวนทอง ผบ.ฉก.ยะลา พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ ผบก.ภ.จ.ยะลา รับข้อสั่งการมาปรับแผนเพื่อป้องกันเหตุเขตเทศบาลนครยะลา เขตเศรษฐกิจของจังหวัดและเป็นศูนย์อำนาจทางราชการส่วนใหญ่
พล.ต.ท.นันทเดช สั่งให้ทุกพื้นที่ บช.ภ.9 ปรับแนวทางทำงานป้องกันเหตุไม่ให้เกิดเหตุซ้ำกับ จ.ยะลา ให้ก้าวทันคนร้ายที่เปลี่ยนแนวทางตลอดเวลาและตอบโต้เจ้าหน้าที่ทุกครั้งปะทะกันและเกิดการสูญเสีย
แต่มุมสะท้อนเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นพื้นที่เทศบาลยะลา ทำให้ผู้คนไม่พอใจการกระทำของคนร้ายที่ซ้ำเติม ไม่ใช่แค่ไทยพุทธ ยังทำร้ายพี่น้องที่นับถือศาสนาอิสลาม คริสต์ ฮินดู ที่บอบช้ำไวรัสโควิด-19 กว่า 2 ปีที่ผ่านมา
หลังจากแก้ปัญหาเชื้อระบาดเบาบางลง อยู่ระหว่างฟื้นตัวทางการค้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในเมืองยะลา ได้ร่วมกันประณามแสดงออกผ่านใบแถลงการณ์ของเทศบาลนครยะลาและการให้สัมภาษณ์ของ นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ หรือ “นายกอ๋า” ต่อเหตุการณ์ความไม่สงบในเขตเทศบาลนครยะลาวันที่ 28 ต่อเนื่องถึงวันที่ 29 ม.ค.
ระบุว่า “เทศบาลนครยะลารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์วางระเบิดในเขตเทศบาลนครยะลา เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ต่อเนื่องถึงวันที่ 29 ม.ค. เนื่องจากตลอดเวลา 2 ปี สถานการณ์ระบาดโรคโควิด–19 ได้ส่งผลให้พี่น้องประชาชนดำเนินชีวิตอย่างลำบากยากเข็ญ ประสบกับปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้า ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชนอย่างแสนสาหัส เทศบาลนครยะลาพยายามอย่างยิ่งใช้มาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันและแก้ไขฟื้นฟูกิจกรรมต่างๆ ให้กลับมา เพื่อต้องการให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนเดิม บัดนี้สถานการณ์โรคโควิด–19 เริ่มคลี่คลายลง ประชาชนเริ่มมีความหวังและออกมาใช้ชีวิตตามปกติ”
แต่เมื่อวันที่ 28 ต่อเนื่องถึง 29 ม.ค.ได้มีกลุ่มบุคคลหรือขบวนการที่ไม่อาจทราบได้ ทำการวางระเบิดในเขตเทศบาลนครยะลามากกว่า 20 จุด สิ่งเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและบั่นทอนความเชื่อมั่นที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนดังที่เทศบาลได้ตั้งใจไว้ ให้กลับไปสู่ภาวะตั้งต้นและติดลบอีกครั้งหนึ่ง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นการกระทำเพียงเพื่อตอบโต้กลุ่มบุคคลหรือด้วยเหตุผลใดๆ ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อประชาชนที่ทุกฝ่ายอ้างเป็นที่รักและต้องการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งสิ้น
เทศบาลนครยะลาขอเรียกร้องให้ยุติการกระทำเช่นนี้ และหันมาพูดคุยหาทางออกอย่างสันติโดยไม่ใช่ความรุนแรง เพราะปัจจุบันการใช้ความรุนแรงเป็นวิธีการที่สังคมโลกไม่สามารถยอมรับได้อีกต่อไป อีกทั้งไม่สามารถนำสันติสุขกลับคืนสู่แผ่นดินเกิดของเราได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเพื่อให้ประชาชนที่ต่างฝ่ายต่างอ้างกันว่าเป็นที่รักจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขอย่างยั่งยืน
จะเห็นได้ว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นแม้จะไม่รุนแรง ไม่มีสะเก็ดระเบิด มีผู้บาดเจ็บแค่คนเดียวที่บาดเจ็บจากสะเก็ดของภาชนะที่บรรจุระเบิดเพียงเล็กน้อย แต่ได้สร้างความสูญเสียต่อจิตใจพี่น้องประชาชนทุกอาชีพทุกศาสนาในพื้นที่ เป็นผลลบของกระบวนการที่ได้สั่งการให้แนวร่วมลงมือก่อเหตุ ซ้ำเติมพี่น้องประชาชนอย่างมาก อาจทำให้เสียมวลชนไปมากจากการกระทำในครั้งนี้
แต่สิ่งที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจ ให้แนวทางสืบสวนและการวางมาตรการป้องกันเหตุและปรับแนวทางในการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ปกครอง ภาคประชาชนในครั้งนี้ เป็นความห่วงใยพี่น้องประชาชน และห่วงใยลูกน้องตำรวจ
อดีต พล.ต.อ.สุวัฒน์ เคยเป็นส่วนหนึ่งของทีมเฉพาะกิจที่ลงไปทำหน้าที่ “พิทักษ์ปลายด้ามขวานของไทย” หลังเกิดเหตุปล้นปืนค่ายปิเหล็ง เป็นชุดแรกๆที่ลงไปวางระบบการสืบสวนร่วมกับคณะนักสืบรุ่นใหญ่ของสำนักงานตำรวจในยุคนั้น จึงรู้ปัญหาและแนวทางในการต่อสู้ของคนร้ายเป็นอย่างดี ลงไปทำงานช่วยเหลือพื้นที่อยู่ตลอด…ถือเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับลูกน้อง
พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ ผบก.ภ.จ.ยะลา ถือเป็นลูกศิษย์และเป็นผลผลิตของโรงเรียนนักสืบที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ ได้เคยสร้างไว้ในยุค 30 “นักสืบนครบาล” และทุ่มเทในพื้นที่ จ.ยะลา มีผลงานมาต่อเนื่อง และทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในจังหวัดได้เป็นอย่างดี เชื่อมั่นว่าจะสามารถปรับแผนการทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุในลักษณะเช่นนี้อีก แต่สิ่งสำคัญคือ ความร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องประชาชนในพื้นที่
จะเป็นหัวใจหลักสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เหตุรุนแรงเกิดขึ้นได้.
ทีมข่าวอาชญากรรม
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 6 ก.พ.65
Link : https://www.thairath.co.th/news/local/2307105