กลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ของปากีสถาน ยกพวกบุกโจมตีค่ายทหาร 2 แห่งพร้อมกัน ในแคว้นบาลูจิสถาน กลางดึกคืนวันพุธ การยิงปะทะดุเดือดทำให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย ส่วนกลุ่มคนร้ายโดนสอยร่วง 15 ศพ นับเป็นความรุนแรงล่าสุด ในแคว้นที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และรัฐบาลจีนเข้าไปลงทุนมหาศาล
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานจากเมืองเควตตา ประเทศปากีสถาน เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ว่า เหตุการณ์โจมตีค่ายทหารเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่นายกรัฐมนตรีอิมราน ข่าน ของปากีสถาน จะออกเดินทางไปร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน กีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ที่ซึ่งข่านมีกำหนดพบหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และผู้นำของประเทศอื่นๆ
ชีค ราชิด อาหมัด รัฐมนตรีมหาดไทยปากีสถาน เผยในแถลงการณ์ผ่านคลิปวิดีโอ เมื่อวันพฤหัสบดี ว่า กองกำลังความมั่นคงสามารถต้านทาน การโจมตีครั้งใหญ่ การยิงปะทะมีทหารเสียชีวิต 4 นาย กลุ่มก่อความไม่สงบเสียชีวิต 15 ราย และอีก 4-5 คน กำลังถูกทหารปิดล้อม
กองทัพปลดปล่อยบาลูจ หรือ บีแอลเอฟ (The Baloch Liberation Army : BLF) ออกแถลงการณ์ส่งถึงสำนักข่าวรอยเตอร์ อ้างความรับผิดชอบ โดยระบุว่า ทีมมือระเบิดฆ่าตัวตายของบีแอลเอฟ กดชนวนระเบิดรถยนต์ ทำลายประตูทางเข้าค่ายทหาร ทำให้ทหารเสียชีวิตกว่า 50 นาย
สัปดาห์ที่แล้ว กลุ่มบีแอลเอฟบุกโจมตีค่ายทหาร ในเมืองท่ากวาดาร์ ริมฝั่งทะเลอาหรับ สังหารทหาร 10 ศพ นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่สุดของกองทัพปากีสถาน ในแคว้นบาลูจิสถาน ในรอบหลายปี
กลุ่มก่อความไม่สงบชนเผ่าบาลูจ จับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลปากีสถาน มานานหลายสิบปี เพื่อแยกแคว้นบาลูจิสถานเป็นรัฐเอกราช โดยกล่าวหารัฐบาลกลางในกรุงอิสลามาบัด ใช้สอยประโยชน์ทรัพยากรในแคว้นอย่างไม่เป็นธรรม บีแอลเอฟมักโจมตีโครงการก๊าซ ระบบสาธารณูปโภค และเจ้าหน้าที่ความมั่นคง และหลายโครงการขนาดใหญ่ ที่รัฐบาลจีนเข้าไปลงทุนในแคว้น และสังหารคนงานชาวจีนหลายครั้ง
จีนลงทุนพัฒนาท่าเรือกวาดาร์ และอีกหลายโครงการสาธารณูปโภค ในแคว้นบาลูจิสถาน ส่วนหนึ่งของข้อตกลงความร่วมมือ ระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน หรือ ซีเปค (China-Pakistan Economic Corridor : CPEC) มูลค่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1,988,370 ล้านบาท) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ของจีน.
เครดิตภาพ – Reuters
ครดิตคลิป – Zee News
ที่มา : เดลินิวส์ / วันที่เผยแพร่ 3 ก.พ.65
Link : https://www.dailynews.co.th/news/730418/