KGB ผ่านอะไรมาบ้างถึงได้ชื่อว่าเป็นหน่วยสุดโหดที่ถูกพูดถึงมาจนทุกวันนี้
หลายคนทราบแล้วว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียเคยเป็นสายลับ KGB มาก่อน แต่รู้หรือไม่ว่าหน่วยสืบราชการลับ KGB ต้องผ่านอะไรมาบ้างถึงได้ชื่อว่าเป็นหน่วยสุดโหดที่ถูกพูดถึงมาจนทุกวันนี้
ก่อนที่จะพูดถึงภารกิจของ KGB ต้องบอกก่อนว่านี่คือความฝันของปูตินตั้งแต่เด็กๆ ที่อยากจะเข้าร่วมหน่วยสืบราชการลับแห่งนี้ จนในที่สุดเขาได้เข้าร่วมกับกองกำลังสายลับ KGB อย่างที่ฝัน เขาได้รับคัดเลือกจากโครงการใหม่ที่สร้างขึ้นโดยยูรี อันโดรปอฟ ประธาน KGB ซึ่งต้องการรับสมัครคนรุ่นใหม่และฝึกฝนพวกเขาตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่ KGB
โดยปูตินทำงานด้านข่าวกรองทั้งในและต่างประเทศ ด้วยความสามารถด้านภาษาเยอรมัน ทำให้เขาได้ทำภารกิจสำคัญอยู่หลายครั้ง รวมถึงการได้รับคัดเลือกส่งไปปฏิบัติการเป็นสายลับในเมือง เดรสเดน เยอรมนีตะวันออกด้วย เมื่ออายุได้ 33 ปี โดยภารกิจหลักคือปฏิบัติภารกิจด้านข่าวกรองจากประเทศฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะเยอรมนีตะวันตกซึ่งติดตั้งขีปนาวุธพุ่งเป้ามาที่สหภาพโซเวียต
มีรายงานจากผู้คนที่อาศัยอยู่ในเยอรมนีตะวันออกในช่วงเวลานั้นและจำได้ว่าเคยเห็นหน้าเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันที่ 5 ธันวาคม 1989 เมื่อมีการวางแผนการจลาจลที่ชตาซี ว่ากันว่าปูตินได้โน้มน้าวฝูงชนให้ปฏิเสธการจลาจลด้วยการหลอกล่อด้วยทักษะสายลับที่ยอดเยี่ยมของเขาที่ได้รับการฝึกฝนมาจาก KGB
ไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับภารกิจที่ปูตินได้รับมอบหมายจาก KGB มากนัก เนื่องจากคนส่วนใหญ่ที่เคยทำงานใน KGB มักไม่พูดถึงอดีตของพวกเขา เพราะพวกเขารู้ว่ามันจะทำให้ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย
ปูตินไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นผู้ช่วยผู้บังคับบัญชา KGB ประจำเดรสเดน ก่อนที่จะลาออกในปี 1991 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย ปูตินเป็นสายลับ KGB นานถึง 16 ปี
KGB ต้องทำอะไรบ้าง?
คณะกรรมการความมั่นคงแห่งรัฐ หรือ KGB (Komitet Gosudarstvennoy Bezopasnosti) เป็นหน่วยสืบราชการลับของสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี 1954-1991 ก่อนที่โซเวียตจะล่มสลายและกลายมาเป็น FSB (Federalnaya sluzhba bezopasnosti) แทน
หน่วยสืบราชการลับ KGB ทำหน้าที่เหมือนกับหน่วยข่าวกรองหรือสายลับอื่นๆ ของโลก คือ การดูแลด้านข่าวกรอง การป้องกันประเทศ แฝงตัวเข้าไปในหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศเพื่อเก็บข้อมูลสำคัญ และจำกัดบุคคลที่เป็นภัยความมั่นคง พวกเขาถูกฝึกให้สอดแนม พรางตัว ต่อสู้ และลอบสังหาร
ภัยความมั่นคง พวกเขาถูกฝึกให้สอดแนม พรางตัว ต่อสู้ และลอบสังหาร
ในปี 2018 New York Post เผยว่า KGB ได้สร้าง “เมืองอเมริกัน” ในยูเครนเพื่อให้สายลับเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอย่างลับๆ ในสหรัฐอเมริกา ฝึกหัดขับรถอเมริกันโดยใช้กฎจราจรของสหรัฐฯ และดูหนังอเมริกัน
พวกเขาต้องเรียนรู้หลายภาษา รวมถึงทักษะด้านข่าวกรอง ทักษะการสืบสวน ยิงปืน ศิลปะการต่อสู้ การต่อสู้ระยะประชิด เรียนรู้วิธีการใช้เทคโนโลยีและทริคต่างๆ เพื่อเอาชนะศัตรู รวมถึงการใช้อุปกรณ์เครื่องมืออย่างรองเท้าซ่อนกล้องเล็กๆ เนคไทที่มีเลนส์ และกระเป๋าที่มีไมโครโฟนซ่อนอยู่
รายงานระบุว่า KGB เป็นมากกว่าสายลับ เป็นเหมือนกับ CIA และ FBI รวมกันเป็นหนึ่งเดียว และถือได้ว่าเป็นคู่อริโดยตรงกับหน่วยสืบราชการลับ CIA โดยเฉพาะในยุคสงครามเย็นที่ต่างฝ่ายต่างจ้องล้วงข้อมูลของกันและกัน
ในปี 2019 มีการเปิดเผยเอกสารคู่มือการฝึกอบรม KGB ในช่วงปี 1970-1980 ซึ่งไม่เคยเปิดเผยมาก่อน เอกสารเหล่านั้นมาพร้อมกับชื่ออย่าง “ข้อมูลที่บิดเบือนในเอกสารข่าวกรอง” (1968) , “การฝึกอบรมตัวแทนและอิทธิพลทางจิตวิทยาบางประการแก่ชาวต่างชาติ” (1985) และ “โอกาสในการใช้วิธีการทางจิตวิทยา” (1988)
เมื่อค้นเอกสารเหล่านั้นจะพบคำแนะนำวิธีการต่างๆ มากมาย อาทิ วิธีการสรรหาคนและควบคุมจิตใจบนดินแดนตะวันตก , วิธีการขจัดแผนการบิดเบือนข้อมูลของศัตรู , วิธีการแทรกซึมการประชุมทางวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ และ วิธีการจู่โจมผู้ต้องสงสัยที่ยั่วยุ
คู่มือเหล่านี้เป็นคู่มือเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่ยังคงอยู่ในรัสเซียจนถึงทุกวันนี้ และวิธีการเหล่านี้ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางปฏิบัติของปูติน
ไมเคิล ไวส์ (Michael Weiss) นักข่าวและนักเขียนชื่อดังชาวอเมริกันกล่าวว่า KGB เชี่ยวชาญในการอ่านใจคน ทำความเข้าใจว่าจุดอ่อนของพวกเขาคืออะไร เรียนรู้วิธีการเข้าถึงพวกเขา และทำให้พวกเขายอมทำในสิ่งที่ไม่เต็มใจ
“สายลับ KGB คือการผสมผสานระหว่างนักบวช นักบำบัดโรค เพื่อนรัก และยังเป็นศัตรูตัวฉกาจอีกด้วย เขาเป็นคนที่พยายามจะให้คุณทำในสิ่งต่างๆ ที่จะทำลายตัวคุณเองในที่สุด”
สหภาพโซเวียตปฏิบัติการลอบสังหารบุคคลสำคัญหลายครั้งรวมถึง ยอซีป บรอซ ตีโต อดีตประธานาธิบดีสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย ที่พยายามหลายครั้งจนต้องถึงขึ้นเขียนจดหมายไปถึงโจเซฟ สตาลิน อดีตนายกรัฐมนตรีสหภาพโซเวียต ว่าให้เลิกส่งคนมาฆ่าตนเสียที ตอนนี้จับได้ 5 คนแล้ว คนหนึ่งมีระเบิด อีกคนมีปืนไรเฟิล “ถ้าคุณไม่หยุดส่งนักฆ่ามา ผมจะส่งไปมอสโกเหมือนกัน”
นอกจากนี้ยังมีจอร์จี มาร์คอฟ นักข่าว BBC ของบัลแกเรียซึ่งเสียชีวิต 3 วันหลังถูกแทงด้วยร่มบัลแกเรียเข้าที่ต้นขาบนถนนในลอนดอนในปี 1978 ก่อนจะเสียชีวิตเขาเล่าว่าชายคนหนึ่งพูดว่า “ขอโทษ” ด้วยสำเนียงต่างประเทศก่อนที่จะแทงเขาและขึ้นแท็กซี่หนีไป คดีนี้ถูกสงสัยว่าเป็นฝีมือสายลับ KGB อย่างไรก็ตามยังไม่มีใครถูกตั้งข้อหา
เลฟ รีเบท ผู้นำทางการเมืองยูเครนเสียชีวิตในปี 1957 ในตอนแรกดูเหมือนจะเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย แต่ความจริงถูกเปิดเผยในอีก 4 ปีให้หลังเมื่อนักฆ่า KGB ออกมายอมรับว่าเป็นฝีมือของเขาเอง
นอกเหนือจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ฉาวโฉ่ KGB ยังขึ้นชื่อในการสอดแนม และการสรรหาชาวต่างชาติมาทำงานให้ เช่น จอห์น แอนโทนี วอล์กเกอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ประจำเรือรบของกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานสอดแนมให้สหภาพโซเวียตระหว่างปี 1967-1985 และโรเบิร์ต ฮันเซน เจ้าหน้าที่ FBI ที่ทำงานให้โซเวียตร่วมสิบปี
หลังจากที่ออกจากหน่วยสืบราชการลับ KGB ปูตินชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีรัสเซียคนใหม่ ต่อจากบอริส เยลต์ซิน อดีตผู้นำที่วางมือไปในปี 2000
Photo by Michael Weiss
ที่มา : posttoday / วันที่เผยแพร่ 9 มี.ค.65
Link : https://www.posttoday.com/world/677729