เป็นอีกครั้งที่ฝ่ายตะวันตกชี้ว่ารัสเซียใช้อาวุธที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ หลังจากที่รัสเซียอ้างว่าพบสหรัฐช่วยเหลือยูเครนพัฒนาอาวุธชีวภาพ
เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการ NATO กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่ารัสเซียอาจใช้อาวุธเคมีหลังจากการรุกรานยูเครน และการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะเป็นอาชญากรรมสงคราม ตามการสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์เยอรมัน Welt am Sonntag
ข้อกล่าวหาของ NATO
“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เราได้ยินคำกล่าวอ้างที่ไร้สาระเกี่ยวกับห้องปฏิบัติการอาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพ” สโตลเทนเบิร์กกล่าวในการรายงานโดยสื่อเยอรมัน Welt am Sonntag พร้อมเสริมว่ารัสเซียกำลังประดิษฐ์ข้ออ้างเท็จเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้
“ตอนนี้ที่มีการกล่าวอ้างเท็จเหล่านี้แล้ว เราต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ เพราะเป็นไปได้ว่ารัสเซียเองก็สามารถวางแผนปฏิบัติการอาวุธเคมีภายใต้การหลอกลวงนี้ได้ นั่นจะเป็นอาชญากรรมสงคราม” สโตลเทนเบิร์กกล่าว
เขาเสริมว่าแม้ว่าชาวยูเครนจะต่อต้านการรุกรานของรัสเซียด้วยความกล้าหาญ แต่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้ามีแนวโน้มที่เกิดความยากลำบากมากยิ่งขึ้น
อาวุธเคมีใช้สารที่เป็นอันตรายได้รับการออกแบบมาเพื่อทำให้บาดเจ็บ ทำให้ไร้ความสามารถ หรือฆ่ากองกำลังของฝ่ายตรงข้าม หรือสกัดกั้นการใช้พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
ทั้งนี้ ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี (1992) มีผลผูกพันทางกฎหมาย ห้ามทั่วโลกในการผลิต กักตุน และใช้อาวุธเคมีและสารตั้งต้น อย่างไรก็ตาม อาวุธเคมีจำนวนมากยังคงมีอยู่ โดยปกติแล้วจะเป็นการป้องกันไว้ก่อนที่อาจเป็นไปได้โดยผู้รุกราน
รัสเซียมีอาวุธเคมีหรือไม่?
รัสเซียเข้าร่วมอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี (CWC) พร้อมประกาศว่ามีคลังอาวุธเคมีที่ใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม ภายในปี 2010 รัสเซียได้ทำลายอาวุธเคมี ณ สถานที่ทำลายโดยเฉพาะจำนวน 18,241 ตันที่ตั้งในพื้นที่ต่งๆ เช่น อยู่ในอร์นี (แคว้นปกครองตนเองซาราตอฟ) และคัมบาร์กา (สาธารณรัฐอุดมูร์ต) เป็นต้น
รัสเซียทำลายอาวุธเคมีประมาณ 25,000 ตัน หรือ 62% ของคลังอาวุธ 40,000 ตัน ณ วันที่ 29 เมษายน 2012 ซึ่งเป็นเส้นตายที่กำหนดโดยอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมีเพื่อการทำลายคลังแสงโดยสมบูรณ์ รัสเซียคาดว่าปี 2020 จำทำลายได้ทั้งหมด
ภายในปี 2016 รัสเซียได้ทำลายอาวุธเคมีประมาณ 94% โดยวางแผนจะทำลายคลังอาวุธที่เหลืออยู่ให้หมดภายในสิ้นปี 2018 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2017 รัสเซียประกาศทำลายอาวุธเคมีชุดสุดท้ายจนครบจำนวนโดยเป็นการทำลายคลังอาวุธเคมีก่อนกำหนด
สารพิษลอบสังหารสายลับ
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข้างต้นอาจจะต้องฟังหูไว้หู เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2018 รัสเซียถูกกล่าวหาว่าทำการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในเมืองซอลส์บรี สหราชอาณาจักร ซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 คน รวมทั้งผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นเป้าหมายของการโจมตี นั่นคือ เซอร์เก สกริปัล (Sergei Skripal)อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองทางทหารของรัสเซีย ซึ่งทำหน้าที่เป็นสายลับสองหน่วยสำหรับหน่วยข่าวกรองของสหราชอาณาจักรในช่วงทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000
ในเดือนธันวาคม 2004 เขาถูกจับโดยสำนักข่าวความมั่นคงแห่งรัฐบาลกลาง (FSB) ของรัสเซียและต่อมาถูกพิจารณาคดี ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานกบฏ และถูกตัดสินจำคุก 13 ปี ต่อมาหลังจากการแลกเปลี่ยนสายลับ เขาได้รับอิสรภาพและตั้งรกรากอยู่ในสหราชอาณาจักรในปี 2010 โดยถือสัญชาติรัสเซียและอังกฤษ
แต่เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2018 เขาและลูกสาวของเขาคือ ยูเลีย ซึ่งเป็นพลเมืองรัสเซียที่เดินทางมาเยี่ยมเขาจากมอสโก ถูกวางยาพิษด้วยสารทำลายประสาท “Novichok” ที่พัฒนาโดยรัสเซีย และเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเขตซอลส์บรีด้วยอาการวิกฤต หน่วยข่าวกรองอังกฤษสอบสวนเรื่องการวางยาพิษในฐานะเป็นเป็นคดีการพยายามฆ่า
การลอบสังหารด้วยสารเคมีครั้งนั้นยังกระทบผู้อื่นด้วย เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอังกฤษได้ตรวจหาอาการของเจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉิน 21 รายและประชาชนทั่วไป พบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นายมีอาการแต่ได้รับการรักษาตามอาการเพียงเล็กน้อย โดยระบุว่ามีอาการคันตาและหายใจมีเสียงหวีด ขณะที่จ่านักสืบนิค เบลีย์ซึ่งถูกส่งไปยังบ้านของ สกริปัล มีอาการร้ายแรง
เป้าหมาย Novichok คือ NATO
Novichok คือกลุ่มของสารทำลายประสาท ได้รับการพัฒนาขึ้นที่สถาบันวิจัยเคมีแห่งรัฐ GosNIIOKhT โดยสหภาพโซเวียตและรัสเซียระหว่างปี 1971 และ 1993 สาร Novichok นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียที่พัฒนาสารมันขึ้นมาอ้างว่าเป็นสารที่อันตรายที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยบางสายพันธุ์อาจมีศักยภาพมากกว่าสารพิษทำลายประสาท VX ถึงห้าถึงแปดเท่า แลที่มีฤทธิ์รุนแรงกว่าสารพิษทำลายประสาท Soman ถึงสิบเท่า นอกจากรัสเซียแล้วยังเป็นที่ทราบกันดีว่า Novichok ผลิตในอิหร่านด้วย
สารพิษ Novichok ได้รับการออกแบบมาเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์สี่ประการ คือ 1. สร้างสารพิษที่ตรวจไม่พบโดยใช้อุปกรณ์ตรวจจับสารเคมีมาตรฐานของ NATO ในยุค 1970 และ 1980 2. เพื่อทำลายอุปกรณ์ป้องกันสารเคมีของ NATO 3. เพื่อความปลอดภัยในการจัดการ และ 4. เพื่อผลิตสารใหม่ที่สามารถหลีกเลี่ยงรายการห้ามของอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมีว่าด้วยสารตั้งต้นที่ควบคุม
สเตฟานี ฟิตซ์แพทริก (Stephanie Fitzpatrick) ที่ปรึกษาด้านภูมิรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน อ้างว่าสถาบันวิจัยเคมีในนูกุส สาธารณรัฐอุซเบกิสถานของสหภาพโซเวียต คือที่ผลิตสาร Novichok และ The New York Times รายงานว่าเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ กล่าวว่าไซต์ดังกล่าวเป็นไซต์วิจัยและทดสอบหลักของสาร Novichok
หลังจากการวางยาพิษสกริปัล อดีตหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัย GosNIIOKhT Nikolay Volodin ยืนยันในการให้สัมภาษณ์กับ Novaya Gazeta ว่ามีการทดสอบที่นูกุสจริง และกล่าวว่ามีการใช้สุนัขด้วย
Novichok มันร้ายแค่ไหน?
ผลกระทบต่อมนุษย์ Novichok เห็นได้จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับอันเดรย์ เชเลนซยาคอฟ (Andrei Zheleznyakov) นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา Novichok ซึ่งเขาสัมผัสกับสารตกค้างของสาร Novichok ที่ไม่ระบุรายละเอียดขณะทำงานในห้องปฏิบัติการในมอสโกในเดือนพฤษภาคม 1987
เชเลนซยาคอฟได้รับบาดเจ็บสาหัสและใช้เวลาสิบวันในการ ฟื้นคืนสติหลังเกิดเหตุการณ์ เขาสูญเสียความสามารถในการเดินและรับการรักษาที่คลินิกลับในเลนินกราดเป็นเวลาสามเดือนหลังจากนั้น สาร Novichok ก่อให้เกิดอันตรายอย่างถาวร โดยมีผลรวมถึง “แขนขาอ่อนแรงเรื้อรัง ตับอักเสบเป็นพิษที่ก่อให้เกิดโรคตับแข็ง โรคลมบ้าหมู ภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง และไม่สามารถอ่านหรือมีสมาธิจดจ่อกับมันจนหมดสภาพในการทำงานโดยสิ้นเชิง”
เชเลนซยาคอฟไม่เคยฟื้นตัวและหลังจากสุขภาพทรุดโทรมยาวนาน 5 ปี เขาก็เสียชีวิตในเดือนกรกฎาคม 1992
Photo – REUTERS/Alexander Ermochenko
———————————————————————————————————————————————————————————————-
ที่มา : โพสต์ทูเดย์ / วันที่เผยแพร่ 13 มี.ค. 65
Link : https://www.posttoday.com/world/677981