แม้แต่สหรัฐฯเองก็สุดจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับอาวุธมหาศาลที่ส่งไปช่วยยูเครน
แหล่งข่าวหลายรายเผยกับ CNN ว่า สหรัฐฯ มีหนทางติดตามอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งขีปนาวุธต่อต้านรถถัง ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน ที่ส่งไปสนับสนุนยูเครนเพียงไม่กี่วิธี สาเหตุหลักเป็นเพราะสหรัฐฯ ไม่มีทหารอยู่ในยูเครน ขณะที่ระบบอาวุธชิ้นเล็กๆ ที่เคลื่อนย้ายได้ง่ายกำลังหลั่งไหลเข้าไปในยูเครนอย่างต่อเนื่อง
แต่มันคือความเสี่ยงที่รัฐบาลไบเดนเต็มใจจะเสี่ยง
ในระยะสั้นสหรัฐฯ มองว่าการส่งอาวุธมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐสำคัญอย่างยิ่งต่อศักยภาพของยูเครนในการสู้กับการรุกรานของรัสเซีย
ทั้งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และนักวิเคราะห์ด้านกลาโหมมองว่า ความเสี่ยงอยู่ที่ระยะยาว อาวุธเหล่านั้นบางส่วนอาจตกอยู่ในมือของกองทัพและกองกำลังติดอาวุธอื่นๆ ที่สหรัฐฯไม่ได้ตั้งใจจะส่งมอบอาวุธให้
แหล่งข่าวรายหนึ่งที่ได้รับการบรรยายสรุปข่าวกรองของสหรัฐฯ เผยกับ CNN ว่า “เรามีความซื่อสัตย์ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่เมื่อเข้าสู่เมฆหมอกแห่งสงคราม เราแทบจะไม่มีเลย มัน (อาวุธ) ตกลงไปในหลุมดำขนาดใหญ่ และไม่นานจากนั้นคุณแทบจะไม่รับรู้เกี่ยวกับมันเลย”
CNN ระบุว่า เจ้าหน้าที่กลาโหมรายหนึ่งเผยว่า ในการตัดสินใจที่จะส่งอาวุธและอุปกรณ์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ไปยังยูเครน ฝ่ายบริหารของไบเดนได้คำนึงถึงความเสี่ยงที่ในท้ายที่สุดอาวุธบางส่วนอาจไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คาดคิด แต่ขณะนี้ฝ่ายบริหารมองว่าการจัดหาอาวุธให้ยูเครนไม่เพียงพอเป็นความเสี่ยงมากกว่า
เนื่องจากกองทัพสหรัฐฯไม่ได้เข้าไปในยูเครน ดังนั้นสหรัฐฯและนาโตจึงต้องพึ่งพาข้อมูลจากรัฐบาลยูเครนเป็นหลัก ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเจ้าหน้าที่หลายคนทราบดีว่า ยูเครนมีแรงจูงใจที่จะให้ข้อมูลเฉพาะที่จะช่วยสนับสนุนให้ได้รับความช่วยเหลือ ได้รับอาวุธมากขึ้น และความช่วยเหลือทางการทูตมากขึ้น
เจ้าหน้าที่อีกรายหนึ่งที่เชี่ยวชาญข่าวกรองตะวันตกเผยว่า “มันคือสงคราม ทุกสิ่งที่พวกเขาทำและพูดในที่สาธารณะล้วนมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้พวกเขาชนะสงคราม แถลงการณ์ต่อสาธารณทุกฉบับคือปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร ทุกการให้สัมภาษณ์ ทุกการปรากฏตัวออกอากาศของเซเลนสกีคือปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาทำผิดแต่อย่างใด”
CNN ระบุว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สหรัฐฯและตะวันตกได้แบ่งปันข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับรัสเซียที่ทางตะวันตกทราบ ไม่ว่าจะเป็นสต็อกอาวุธ ศัยภาพของกองทหาร สถานที่และชนิดของอาวุธที่รัสเซียจะใช้ให้กับยูเครน แต่สำหรับกองทัพยูเครน เจ้าหน้าที่ทราบดีว่าตะวันตก รวมทั้งสหรัฐฯยังมีช่องว่างของข้อมูลอยู่
รัฐบาลสหรัฐฯและประเทศสมาชิกนาโตจัดหาอาวุธให้ตามที่กองทัพยูเครนเรียกร้อง ไม่ว่าจะเป็นขีปนาวุธ Javelin หรือ Stinger หรือระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-300 ของสโลวะเกียที่ถูกส่งไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
CNN ระบุว่า แหล่งข่าวที่เชี่ยวชาญในกรณีนี้เผยว่า โดยธรรมชาติแล้วขีปนาวุธ Javelin และ Stinger และปืนไรเฟิลและกระสุนติดตามยากกว่าอาวุธใหญ่ๆ อย่าง S-300 ซึ่งถูกขนส่งโดยรถไฟ และแม้ว่า Javelin จะมีหมายเลขกำกับ แต่ก็ติดตามการเคลื่อนย้ายและการใช้งานแบบเรียลไทม์ได้ยาก
สัปดาห์ที่แล้วสหรัฐฯเพิ่งส่งอาวุธหนัก รวมทั้งเฮลิคอปเตอร์ Mi-17 11 ลำ ปืนใหญ่ Howitzer ขนาด 155 มม. 18 กระบอก และโดรนพลีชีพ Switchblade อีก 300 ลำไปให้ยูเครน แต่อาวุธเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังไม่ถูกนำมาใช้ และโดรน Switchblade นั้นเป็นโดรนที่ใช้ครั้งเดียวจึงทำให้ยากต่อการติดตาม
CNN ระบุว่า เจ้าหน้าที่กลาโหมระดับอาวุโสเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่สัปดาห์ที่แล้วว่า “ผมไม่สามารถบอกคุณได้ว่ามันอยู่ที่ไหนในยูเครนและตอนนี้ยูเครนกำลังใช้พวกมันอยู่หรือไม่ พวกเขาไม่ได้บอกเราทุกครั้งว่ายิงกระสุนไปกี่นัด ยิงใคร และยิงที่ไหน เราอาจจะไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าพวกเขาใช้ witchblade ไปเท่าไรแล้ว”
จากคำบอกกล่าวของ จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯคือ กระทรวงกลาโหมไม่ได้ทำตำหนิไว้ที่อาวุธที่ส่งไปให้ยูเครน และรถบรรทุกที่ขนอาวุธที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯจัดหาไปให้จะมีกองทัพยูเครนมารับในโปแลนด์แล้วขับเข้าไปยังยูเครน “จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับยูเครนว่าจะนำไปไหนและจะจัดสรรอย่างไรในประเทศ”
แหล่งข่าวจากสภาคองเกรสรายหนึ่งเผยว่า แม้ว่ากองทัพสหรัฐฯจะไม่ได้อยู่ในยูเครน แต่สหรัฐมีเครื่องมือในการสืบทราบสิ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากที่ยูเครนพูด
จอร์แดน โคเฮน นักวิเคราะห์ด้านกลาโหมและนโยบายต่างประเทศจากสถาบัน CATO เผยว่า อันตรายที่ใหญ่ที่สุดที่รายล้อมอาวุธที่หลั่งไหลเข้าสู่ยูเครนคือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับอาวุธเหล่านั้นเมื่อสงครามสิ้นสุดลง หรือเปลี่ยนไปสู่การคุมเชิงที่ยืดเยื้อ
ความเสี่ยงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาส่งอาวุธไปต่างประเทศ อาทิ การส่งอาวุธไปอัฟกานิสถานของสหรัฐฯ เริ่มแรกเป็นการติดอาวุธให้กลุ่มมูจาฮีดีนสู้รบกับกองทัพโซเวียต จากนั้นเป็นการติดอาวุธให้กองกำลังอัฟกานิสถานสู้กับตอลีบัน
ทว่าสุดท้ายอาวุธเหล่านี้ รวมทั้งขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน Stinger ก็หลุดไปอยู่ในตลาดมืดอย่างเลี่ยงไม่ได้
สหรัฐฯพยายามช่วงชิงขีปนาวุธ Stinger กลับคืนหลังสงครามโซเวียตในอัฟกานิสถาน แต่ก็ไม่สามารถตามคืนได้ทั้งหมด จนเจ้าหน้าที่บางรายกังวลว่าอาวุธที่หลุดลอดออกไปจะถูกกลุ่มตอลีบันนำมาใช้กับสหรัฐฯเมื่อครั้งที่สหรัฐบุกอัฟกานิสถานปี 2001
ส่วนอาวุธอื่นๆ สุดท้ายตกไปอยู่ในมือของฝ่ายศัตรู โดยอาวุธส่วนใหญ่ที่สหรัฐฯทิ้งไว้ช่วยกองกำลังอัฟกานิสถานกลายเป็นคลังแสงของตอลีบันหลังจากรัฐบาลและกองทัพอัฟกันล่มสลาย
ไม่เฉพาะในอัฟกานิสถานเท่านั้น อาวุธที่สหรัฐขายให้ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็ตกไปอยู่ในมือของกลุ่มนักรบที่เชื่อมโยงกับกลุ่มอัลกออิดะห์และอิหร่าน
CNN ระบุว่า เจ้าหน้าที่กลาโหมยอมรับว่ามีความเสี่ยงที่เหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นในยูเครน โดยเมื่อปี 2020 ผู้ตรวจการณ์กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้งานอาวุธที่ส่งไปยังยูเครน
เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวเผยว่า เมื่อพิจารณาจากความต้องการอาวุธและกระสุนของกองกำลังยูเครนในระยะสั้น ความเสี่ยงระยะยาวที่อาวุธที่จะไปอยู่ในตลาดมืดหรืออยู่ในมือของคนอื่นก็ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้
โคเฮนบอกว่า “นี่อาจเป็นปัญหาในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่ควรเป็นสิ่งที่เรากังวล ในบรรดากระสุนกว่า 50 ล้านนัด ทั้งหมดนั้นไม่ได้ถูกใช้เพื่อสู้กับรัสเซียเท่านั้น สุดท้ายแล้วกระสุนนั้นจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม”
CNN ระบุว่า ณ ขณะนี้ ยังไม่น่ากังวลเท่าไรว่าอาวุธจะตกไปอยู่ในมือรัสเซีย แหล่งข่าวที่ได้รับฟังรายงานสรุปข่าวกรองเผยว่า ความล้มเหลวของรัสเซียในการยึดพื้นที่หรือบีบบังคับให้กองทหารยูเครนยอมแพ้หมายความว่าอาวุธเหล่านั้นถูกใช้แล้ว หรือไม่ก็ยังคงอยู่ในมือยูเครน
และจนถึงขณะนี้ ดูเหมือนว่ารัสเซียไม่สามารถสกัดหรือทำลายการขนส่งอาวุธ แหล่งข่าวรายที่ 3 ซึ่งทราบเกี่ยวกับข่าวกรองเผยว่า ไม่ปรากฏว่ารัสเซียโจมตีการขนส่งอาวุธของตะวันตกที่เข้ามาในยูเครน แม้จะยังไม่ทราบว่าเพราะอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อข่าวกรองของสหรัฐฯระบุว่ารัสซัยต้องการทำเช่นนั้น
แหล่งข่าวรายนี้เผยว่า มีหลายทฤษฎีว่าทำไมการขนส่งอาวุธจึงยังไม่ถูกสกัด รวมทั้งทฤษฎที่ว่ากองทัพรัสเซียหาอาวุธเหล่านี้ไม่เจอ เพราะอาวุธยุทโธปกรณ์จะถูกส่งมาโดยยานพาหนะธรรมดาไม่ได้แสดงเครื่องหมายพิเศษและมักจะขนส่งช่วงกลางคืน
หรืออาจเป็นเพราะรัสเซียกำลังขาดแคลนอาวุธและไม่ต้องการมาสิ้นเปลืองกับการสุ่มยิงรถบรรทุก นอกเสียจากว่ารัสเซียจะแน่ใจว่ารถคันนั้นๆ เป็นรถขนส่งอาวุธจริงๆ
ทว่า เมื่อเร็วๆ นี้รัสเซียอ้างว่าได้ทำลายคลังอาวุธแห่งหนึ่งใกล้เมืองลวิวซึ่งเป็นที่เก็บอาวุธที่สหรัฐฯและยุโรปส่งมาให้ยูเครน และยังอ้างว่ายิงเครื่องบินขนส่งอาวุธจากตะวันตกตกใกล้กับเมืองโอเดสซา
แหล่งข่าวรายนี้เผยอีกว่า ในภาพรวมการข่าวกรองในยูเครนของรัสเซียไม่ค่อยดี และศักยภาพทางอากาศของรัสเซียเหนือน่านฟ้าฝั่งตะวันตกของยูเครนซึ่งใช้เป็นเส้นทางขนส่งอาวุธมีค่อนข้างจำกัดอันเนื่องมาจากระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครน
REUTERS/Valentyn Ogirenko/File Photo
ที่มา : โพสต์ทูเดย์ / วันที่เผยแพร่ 20 เม.ย.65
Link : https://www.posttoday.com/world/681040