***************
จะว่าไปแล้วก็รู้สึกสงสารประชาชนชาวยูเครนซึ่งเวลานี้อยู่ในภาพบ้านแตกสาแหรกขาด บาดเจ็บล้มตาย ไร้ที่อยู่อาศัย เร่ร่อน ต้องคอยหลบลูกปืนและลูกระเบิด สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ลูก เมีย ผัว ญาติพี่น้อง เพราะนโยบายของผู้นำคนปัจจุบัน ที่ยอมตกเป็นเครื่องมือของอเมริกันและไปเปิดศึกกับรัสเซีย ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ทั้งหมดจะโทษใครไม่ได้ นอกจากโทษชาวยูเครนที่เลือกนักพูดตลกเป็นประธานาธิบดี อาจคิดว่าเลือกคนพูดเก่ง ๆ วาทศิลป์ดี ๆ พูดจาให้คนฟังรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครนขณะนี้ คนยูเครนจะไปโทษคนอื่นไม่ได้นอกจากโทษตัวเอง และสายไปเสียแล้วที่จะแก้ไขนอกจากเผชิญกับชะตากรรมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ไม่ต้องวิเคราะห์วิจัยอะไรกันมาก คนที่ตามเรื่องยูเครนมาตลอดตั้งแต่เลือกตั้งได้ผู้นำคนนี้เป็นประธานาธิบดี ก็พอรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับยูเครนภายใต้การบริหารของผู้นำคนนี้ ซึ่งอเมริกาสนับสนุนให้ได้รับเลือกตั้งแทนประธานาธิบดีคนเก่าที่นิยมรัสเซีย โดยอ้างว่าเป็นการนำประชาธิปไตยมาสู่ยูเครน
ที่คิดว่าอเมริกันจะช่วย ที่คิดว่ายุโรปจะช่วย ทีคิดว่านาโตจะช่วยหากรัสเซียบุกยูเครน แล้วมีประเทศไหนช่วยบ้าง ยูเครนสมัครเข้าเป็นสมาชิกนาโตโดยหวังว่าหากถูกรัสเซียโจมตี นาโตจะเข้ามาช่วยทางทหาร
พอเกิดสงครามขึ้น ยูเครนสมัครเข้าเป็นสมาชิกนาโตอีกครั้งและขอให้นาโตพิจารณาเป็นกรณีเร่งด่วนรับยูเครนเข้าไปสมาชิก นาโตก็ไม่พิจารณา เพราะรู้ว่ากำลังเล่นกับของใหญ่คือ รัสเซีย ซึ่งผู้นำคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา
ยูเครนก็ต้องสู้กับรัสเซียแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ
สิ่งที่สหรัฐทำ คือ ส่งอาวุธมาให้ยูเครนเพื่อใช้สู้รบกับทหารรัสเซีย แต่ตัวทหารอเมริกันไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วย ยูเครนหารู้ไม่ว่าอาวุธที่อเมริกันส่งมาให้นั้นอาจเป็นการทดสอบอาวุธของตนที่ผลิตขึ้น หากได้ผลดี อเมริกันจะขายอาวุธให้สมาชิกนาโตและพันธมิตรได้อีกหลายพัน หรือหลายหมื่นล้านดอลลาร์ อุตสาหกรรมอาวุธอเมริกันที่หงอยอยู่นานจะได้เริ่มคึกคักเสียที
หุ้นบริษัทผลิตและขายอาวุธขยับขึ้น ส.ส.และ ส.ว.อเมริกัน หรือบุคคลในรัฐบาล หากผู้ใดมีหุ้นอยู่ในบริษัทผลิตและขายอาวุธดังกล่าว จะได้กำไรถ้วนหน้า
ผู้นำยูเครนขอรับการสนับสนุนเครื่องบินรบที่เมดอินรัสเซีย (เพราะนักบินยูเครนขับได้เฉพาะเครื่องบินมิคเท่านั้น) ไปไว้สู้กับรัสเซีย ผู้นำโปแลนด์ใจดีเสนอส่งเครื่องบินรบทำในรัสเซียซึ่งตนมีอยู่มากไปให้ยูเครน แต่ไม่กล้าส่งให้ยูเครนโดยตรงเพราะกลัวรัสเซีย จึงขอให้ประเทศที่สามซึ่งเป็นสมาชิกนาโตส่งให้แทน ประเทศนั้นก็ไม่ยอมส่งให้ซะอีก เพราะไม่อยากมีปัญหากับรัสเซีย ผู้นำยูเครนก็จ๋อยต่อไป
ผู้นำยูเครนประเมินสถานการณ์ผิด คิดว่าสหรัฐซึ่งหนุนให้ตนออกไปดึงหางเสือรัสเซียแล้วจะช่วย แต่พอถึงคราวอับจนจริง ๆ สหรัฐก็ไม่กล้าโดดลงมาช่วยเต็มที่เพราะรู้แล้วว่า จะต้องสู้กับรัสเซีย นั่นหมายถึงสงครามนิวเคลียร์ที่ไม่มีใครชนะ มีแต่คนทั้งโลกแพ้ รวมทั้งคนอเมริกันด้วย
รัสเซียส่งสัญญาณมายังสหรัฐทั้งทางตรงและทางอ้อมก่อนแล้วว่า อย่ามายุ่ง สงครามครั้งนี้เป็นเรื่องระหว่างรัสเซียกับยูเครนเท่านั้น แต่ประธานาธิบดีสหรัฐก็ไม่ยอมฟัง กลับยุให้ผู้นำยูเครนไปแหย่ให้รัสเซียบุกยูเครน เพื่อจะได้ใช้โอกาสนี้หาทางทำลายเศรษฐกิจการเงินของรัสเซีย
สหรัฐขอให้ประเทศในยุโรปตะวันตกเลิกนำเข้าก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจากรัสเซีย แต่ผู้นำประเทศเหล่านี้รู้ดีว่า ถ้าหลงเชื่อตามอเมริกัน ประชาชนของตนเดือดร้อนแน่และคนจะเดินขบวนขับไล่รัฐบาล แต่ใช้สุภาษิตไทยว่า “ บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น” จึงบอกว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เลิกทันทีเวลานี้น่ะเลิกไม่ได้ ประชาชนของตนจะเดือดร้อนมาก ขอเวลาสามปีแล้วจะเลิก
ผู้นำสหรัฐพูดไม่ออก หันไปหามิตรประเทศในตะวันออกกลาง ก็ไม่มีใครที่จะเล่นด้วยเต็มที่ ขนาดตุรกีซึ่งเป็นมิตรใกล้ชิดสหรัฐ ยังไม่เอาด้วยเพราะต้องเกรงใจรัสเซียเหมือนกัน
แล้วทีนี้ ผู้นำยูเครนจะทำอย่างไร หันไปหาใครก็ไม่มีใครออกมาช่วย หันไปหาอเมริกาที่ยุดีนักว่าเอาเลย แหย่รัสเซียให้เปิดสงคราม เพราะคิดว่าประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซียไม่กล้า แต่พอปูตินเอาจริง โจ ไบเดนก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน เข้าประเภทท่าดีทีเหลว ยุให้คนอื่นทำ แต่พอถึงตัวเองกลับไม่กล้า
เพราะรัสเซียก็เป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่มีศักยภาพไม่ด้อยกว่าอเมริกา ซึ่งไม่มีใครในโลกรวมทั้งอเมริกาและรัสเซียที่อยากให้เกิดการเผชิญหน้าจนนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์จากกรณียูเครน
สหรัฐและตะวันตกใช้ให้สหประชาชาติออกมติประณามรัสเซีย ปูตินก็เฉยๆ เพราะนี่คือผลประโยชน์สำคัญยิ่งและเป็นความมั่นคงของรัสเซีย ซึ่งปูตินพร่ำเตือนผู้นำอเมริกันซ้ำแล้วซ้ำอีก ผู้นำสหรัฐเดินสายพยายามโน้มน้าวให้ผู้นำเยอรมนี ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในนาโตช่วยกดดันรัสเซีย แต่สองประเทศก็ไม่เล่นด้วย
แม้แต่สหราชอาณาจักร หรือที่เราเรียกกันทั่วไปว่าอังกฤษ ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับอเมริกา อเมริกาว่าอย่างไร อังกฤษเอาด้วย แต่กรณีนี้ ถ้าจะหนุนยูเครนจนเกิดสงครามกับรัสเซีย อังกฤษก็ไม่เอาด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่า ครั้งนี้อังกฤษค่อนข้างเงียบเพราะรู้จักรัสเซียดีกว่าคนอื่น
เวลานี้ ผู้นำยูเครนถูกโดดเดี่ยว มีเพื่อนฝูงแสดงความเห็นอกเห็นใจ แต่ถ้าจะให้ร่วมด้วยช่วยกันไปรบกับรัสเซีย ไม่มีใครเอาด้วย ขอเชิญยูเครนรบไปคนเดียวก่อนก็แล้วกัน
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เดินสายไปยุแหย่คนโน้นคนนี้ ใช้ยูเครนแหย่ให้รัสเซียเป็นฝ่ายโจมตีก่อนเพื่อจะได้รวมพลังมิตรประเทศทั่วโลกประณามรัสเซีย ตัดการค้าขาย เศรษฐกิจ การเงินของรัสเซีย ทำให้รัสเซียซึ่งเป็นคู่แข่งอเมริกาอ่อนแอลง
พอปูตินโจมตียูเครน ไม่เห็นมีประเทศไหนไปช่วยยูเครนรบกับรัสเซีย นอกจากสหรัฐส่งอาวุธไปให้ทหารยูเครนสู้กับรัสเซีย ทหารยูเครน พลเรือนชาวยูเครนมากมายตาย บาดเจ็บ แต่คนอเมริกันไม่ได้ตายด้วย ไม่ทราบว่า เวลานี้ผู้นำยูเครนซึ่งตกเป็นเหยื่อทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาในการเมืองระหว่างประเทศจะรู้ตัวหรือยัง
ในที่สุด ผู้นำยูเครนก็ตะโกนหาการเจรจาเพื่อ “ยูเครนที่เป็นกลาง” ได้รับการประกันจากรัสเซีย อเมริกันและยุโรป ทั้งที่ปูตินเคยเสนอก่อนแล้วให้ยูเครนเป็นกลาง โดยได้รับการค้ำประกันจากสองฝ่าย แต่ผู้นำยูเครนก็ไม่เชื่อ ยั่วยุรัสเซียให้ทำสงครามจนบ้านเมืองพินาศฉิบหาย ทหารและประชาชนล้มตายบาดเจ็บนับไม่ถ้วน แล้วสุดท้าย ผู้นำยูเครนก็เรียกร้องขอให้ยูเครนเป็นกลางที่ได้รับการประกันจากทุกฝ่าย
ในการเจรจาที่เบลารุสระหว่างรัสเซียกับยูเครน ข้อเสนอประการหนึ่งจากรัสเซียก็คือให้ยูเครนเป็นกลางโดยได้รับการรับรองจากรัสเซียและสหรัฐ หากผู้นำยูเครนรับข้อเสนอนี้แต่แรกโดยไม่หลงเชื่ออเมริกา บ้านเมืองก็คงไม่พินาศล่มจม ทหารและพลเรือนยูเครนก็คงไม่ตายเป็นเบือแบบนี้
นักยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อ่านเกมนี้ได้อย่างชัดเจนว่า สหรัฐไม่พร้อมที่จะรบกับรัสเซียเพราะยูเครน ไม่ต้องพูดถึงอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ซึ่งมีศักยภาพทางทหารด้อยกว่ารัสเซียมากมาย ไม่คิดจะทำสงครามกับรัสเซีย
เพราะ “ ยูเครน ไม่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ “ เพียงพอที่ประเทศเหล่านี้จะเสี่ยงไปรบกันรัสเซีย ซึ่งหมายถึงสงครามนิวเคลียร์
แต่ยูเครนมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อรัสเซีย ที่รัสเซียพร้อมที่จะทำสงครามนิวเคลียร์หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ปูตินเดาใจหรืออ่านไพ่ออกว่า สหรัฐและพันธมิตรตะวันตกคงไม่พร้อมจะทำสงครามนิวเคลียร์กับรัสเซียเพียงแค่ปัญหายูเครน
ให้นึกย้อนกลับไปกรณี “ คิวบา “ ซึ่งไม่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เพียงพอที่สหภาพโซเวียดจะต้องไปรบกับอเมริกา ครุสชอฟจึงถอนจรวดออกจากคิวบาหลังจากประธานาธิบดีเคนเนดียื่นคำขาด ซึ่งหมายถึงว่าสหรัฐพร้อมจะทำสงครามนิวเคลียร์กับสหภาพโซเวียดหากไม่ถอน เพราะคิวบามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์กับสหรัฐ
ถ้าไปทำประชามติถามคนอเมริกัน อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ว่า สนับสนุนให้รัฐบาลของตนรบกับรัสเซียเพราะปัญหายูเครน หรือไม่ เชื่อว่าคำตอบร้อยทั้งร้อยบอกว่าไม่เอา เพราะยูเครนไม่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่ประเทศของตนจะลงทุนไปรบกับรัสเซีย
ประธานาธิบดีมาครองแห่งฝรั่งเศสเคยพูดไว้เมื่อสองปีที่แล้วโดยตั้งคำถามว่า “ ศัตรูของเพื่อนต้องเป็นศัตรูของเราด้วยหรือเปล่า? “ ( หมายถึงว่า รัฐบาลวอชิงตันไม่ชอบรัสเซีย รัฐบาลลอนดอน ปารีส เบอร์ลิน ต้องไม่ชอบไปด้วยหรือเปล่า )
ผู้นำยุโรปบางคนมองว่า ที่ยุโรปเกิดปัญหาขึ้นเวลานี้ ก็เพราะมีการแบ่งยุโรปเป็น “ ยุโรปตะวันตก กับ ยุโรปตะวันออก (รัสเซีย)” หากมองว่ารัสเซียเป็นส่วนหนึ่งของยุโรป และยุโรปเป็นหนึ่งเดียว ปัญหาก็ไม่น่าเกิดขึ้น เพราะเวลานี้ ความขัดแย้งทางลัทธิการเมืองระหว่างยุโรปประชาธิปไตยกับรัสเซียคอมมิวนิสต์ก็ไม่มีแล้ว ต่างฝ่ายต่างเร่งพัฒนาเศรษฐกิจและต้องพึ่งพาอาศัยกัน ยุโรปตะวันตกต้องพึ่งพาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียด้วย
สิ่งที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะการยุแหย่จากอเมริกันหรือเปล่า? เพราะรัสเซียเป็นเหมือนกับคู่แข่งทางนิวเคลียร์ หากรัสเซียจับมือกับจีน ก็เท่ากับเป็นคู่แข่งสำคัญด้านเศรษฐกิจการเงินโลกกับสหรัฐอเมริกาเช่นกัน ซึ่งสหรัฐยอมไม่ได้ที่จะให้ใครมาชิงอันดับหนึ่งจากตน
ผู้นำยูเครนน่าจะฉุกคิดถึงเรื่องนี้ ก่อนที่จะถลำตัวตกกับดักของอเมริกัน จนทำให้คนยูเครนทั้งทหารและพลเรือนตายและบาดเจ็บหลายพันหรือนับหมื่นคน
คนที่น่าสงสารและน่าเห็นใจที่สุด คือ ประชาชนชาวยูเครน ซึ่งคราวนี้ได้บทเรียนแล้วว่า การเลือกคนมาเป็นผู้นำนั้นต้องคิดหลายด้าน
ที่ต้องเขียนเรื่องนี้เพราะถ้าเกิดสงครามใหญ่ หรือสงครามนิวเคลียร์ ย่อมส่งผลกระทบต่อคนไทยไม่มากก็น้อย เพราะฉะนั้น จะว่าคนไทยไม่เกี่ยวข้องเลยก็คงไม่ได้ นอกจากนั้น สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นย่อมเป็นบทเรียนสำหรับคนไทยในการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย
**********
ที่มา :posttoday / วันที่เผยแพร่ 31 มี.ค.65
Link : https://www.posttoday.com/politic/columnist/679545