พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ พบภัยคุกคามมัลแวร์เรียกค่าไถ่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 144% ในปี 2564 แตะระดับ 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 72.6 ล้านบาท) ขณะที่มูลค่าการจ่ายค่าไถ่เพิ่มขึ้น 78% แตะระดับ 541,010 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 17.85 ล้านบาท พบกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ บริการระดับมืออาชีพและกฎหมาย การก่อสร้าง การค้าส่งและค้าปลีก เฮลท์แคร์ และโรงงานอุตสาหกรรม
เจน มิลเลอร์-ออสบอร์น รองผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองด้านภัยคุกคามของ Unit 42 ศูนย์รวมนักวิจัยด้านภัยคุกคามของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ กล่าวว่า ในปี 2564 การโจมตีด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่สร้างความก่อกวนต่อกิจวัตรประจำวันของผู้คนทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหาของกินของใช้ การเติมน้ำมัน การโทร.สายด่วนกรณีฉุกเฉิน หรือแม้แต่การขอความช่วยเหลือทางการแพทย์”
สำหรับรายงานฉบับนี้ พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ ชี้ว่าทั่วโลกทุบสถิติการจ่ายค่าไถ่ให้มัลแวร์ในปี 2564 เพราะข้อมูลรั่วเข้าตลาดมืดเพิ่มขึ้น ไม่เพียงการเรียกค่าไถ่มีมูลค่าโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 144% คิดเป็น 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการจ่ายค่าไถ่มีมูลค่าโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 78% คิดเป็น 541,010 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ประเทศไทยยังโดนมัลแวร์เรียกค่าไถ่โจมตีติดอับดับ 6 ในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น และจำนวนการโพสต์ข้อมูลสำคัญรั่วไหลในตลาดมืดยังเพิ่มขึ้น 85%
“การจ่ายค่าไถ่ให้มัลแวร์ทุบสถิติใหม่ในปี 2564 เนื่องจากอาชญากรไซเบอร์หันไปพึ่งพาตลาดมืดอย่าง “เว็บไซต์รวมข้อมูลรั่ว” มากขึ้น เพื่อกดดันเหยื่อให้จ่ายค่าไถ่โดยข่มขู่ว่าจะเผยแพร่ข้อมูลสำคัญ” งานวิจัยที่เผยแพร่ในวันนี้จาก Unit 42 ของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ระบุ “การโจมตีส่วนใหญ่เกิดจากกลุ่มมัลแวร์เรียกค่าไถ่ที่ชื่อ Conti ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ มากกว่า 1 ใน 5 ตามมาด้วยอันดับ 2 อย่าง REvil หรือที่รู้จักกันในชื่อ Sodinokibi ที่ 7.1% และกลุ่ม Helloy Kitty และ Phobos (กลุ่มละ 4.8%) สำหรับประเทศไทย มัลแวร์ Lockbit 2.0 เป็น กลุ่มที่พบมากที่สุด คือ 9 ตัวจากทั้งหมด 13 ตัว”
รายงานชี้ว่าจำนวนเหยื่อที่โดนโพสต์ข้อมูลสำคัญบนเว็บไซต์เพิ่มขึ้น 85% ในปี 2564 คิดเป็น 2,566 องค์กร อ้างอิงข้อมูลการวิเคราะห์จาก Unit 42 โดยเหยื่อราว 60% อยู่ในอเมริกา 31% อยู่ในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา และ 9% อยู่ในเอเชียแปซิฟิก สำหรับในไทย กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่โดนโจมตีสูงสุด โดยกลุ่มที่โดนโจมตีมากที่สุดคือ ภาคบริการเชิงพาณิชย์และบริการมือชีพ ตามด้วยภาคซอฟต์แวร์และบริการ และกลุ่มรถยนต์และชิ้นส่วนประกอบ
พาโล อัลโต เน็ตเวิร์กส์ นิยามตัวเองเป็นผู้นำด้านระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก ขณะที่ Unit 42 เป็นศูนย์รวมนักวิจัยด้านภัยคุกคามที่มีชื่อเสียงระดับโลกโดยมีทีมบุคลากรชั้นนำที่ช่วยรับมือกับเหตุการณ์และให้คำปรึกษาด้านการรักษาความปลอดภัย เพื่อให้เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนโดยข่าวกรองเชิงลึกและพร้อมตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ โดยช่วยจัดการความเสี่ยงทางไซเบอร์ในเชิงรุก
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 18 เม.ย.65
Link : https://m.mgronline.com/cyberbiz/detail/9650000036972