ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถลงข่าวจับชายบุกรุกเข้าลานจอดเครื่องบิน เผยปฎิบัติตามขั้นตอนสากล เน้นเจ้าหน้าที่-ผู้โดยสารต้องปลอดภัย ยอมรับมีกายภาพบางจุดที่ต้องปรับปรุง ด้าน ตร.แจ้ง 7 ข้อหาหนัก พกอาวุธ มียาบ้า และบุกรุก
วันนี้ (4 พ.ค.65) นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้น วันที่ 3 พ.ค.เวลาประมาณ เวลา 11.50 น. ทาง Control Post 3 ของสนามบินสุวรรณภูมิ เห็นชายดังกล่าวขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาใกล้ ทำให้เจ้าหน้าที่เข้าไปห้าม เพราะจดดังกล่าวห้ามรถจักรยานยนต์เข้า เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าใกล้ ชายดังกล่าวได้ชักอาวุธปืนขึ้นมา ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องหลบเข้าที่กำบัง เนื่องจากไม่ทราบว่าเป็นอาวุธจริงหรือปลอม.
ซึ่งในระหว่างนั้น มีรถยนต์ของสายการบินที่ผ่านการตรวจอยู่ที่ Control Post 3 ดังกล่าว และประตูได้เปิดให้รถยนต์ดงกล่าวเข้าพื้นที่ ชายดังกล่าวอาศัยจังหวะฝ่าเข้าไป พร้อมกับใช้อาวุธปืนขู่เจ้าหน้าที่ และได้เข้าไปในเขตลานบิน หรือ Airside ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ได้ติดตามตลอดเวลาและให้หน่วยสกัดในพื้นที่ดำเนินการทันที โดยใช้เวลาสามารถจับกุมตัวได้ในเวลา 12.04 น. หรือดำเนินการควบคุมได้ประมาณ 10 นาที
นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า ชายดังกล่าวขี่รถจักรยานยนต์ไปและล้มลง สุดท้ายวิ่งขึ้นไปที่ประตูเทียบเครื่องบิน A4 ใช้ขวานจามไปที่ประตูกระจกแตก เจ้าหน้าที่ที่ติดตามเห็นและมั่นใจว่าอาวุธปืนเป็นของปลอม จึงตัดสินใจในวินาทีนั้นที่เข้าชาร์จ ซึ่งการตัดสินใจนั้นต้องมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ ผู้โดยสารต้องปลอดภัย และเพื่อไม่ให้ผู้บุกรุกเข้าไปชั้นในอาคารผู้โดยสารได้ การปฏิบัติการทั้งหมดได้คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของผู้โดยสาร รวมถึงความปลอดภัยในชีวิตของเจ้าหน้าที่ทุกนาย ดังนั้น ทั้งหมดได้ทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ ในเรื่องการสกัดจับและทักษะของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบิน เช่น การใช้รถยนต์วิ่งล้อมไปมานั้นเป็นหลักปฎิบัติตามมาตรฐานสากล เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการไปตามการฝึก ไม่ได้ทำมั่วๆ การทำงานมีขั้นตอน
ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตรวจที่ ประตู ไม่ได้พกอาวุธติดตัว แต่เมื่อเหตุเกิด ก็มีการประสานงานกันเพื่อสกัด โดยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการได้มีการพูดคุย กับศูนย์สั่งการตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ต้องชาร์จ เพื่อยุติเหตุการณ์โดยเร็ว ไม่อยากเห็นภาพหลุดเข้าไปด้านใน เหตุการณ์จะยิ่งบานปลาย เรามุ่งเน้นความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่เป็นสำคัญ อย่าไรก็ตาม อาจจะมีการพิจารณาในเรื่องการเพิ่มอุปกรณ์ให้เจ้าหน้าที่ เช่น ปืนไฟฟ้า ซึ่งหลายสนามบินเริ่มนำมาใช้แล้ว
“ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 3 พ.ค. เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้จริงๆ แต่เมื่อหลุดเข้ามาในพื้นที่สนามบินแล้วจะต้องมีมาตรการจัดการ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สนามบินต้องดำเนินการ ซึ่งมีขั้นตอนปฎิบัติ การป้องกันดูแลแผนเผชิญเหตุเป็นไปตามมาตรฐาน ICAO ผ่านการตรวจสอบ ทอท.ไม่ได้คิดเอง ยืนยันสุวรรณภูมิมีมาตรฐานการดูแลความปลอดภัยเป็นระดับสากล” ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระบุ
หลังเกิดเหตุได้รายงานให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ทราบทันที รมต.ให้เร่งดำเนินการส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ทำตามกฎหมาย โดยกำชับให้มุ่งเน้นการให้บริการตามมาตรฐานและความปลอดภัย ผู้โดยสารต้องรู้สึกว่าปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สนามบินโดยฝ่ายมาตรฐานและฝ่ายรักษาความปลอดภัย จะต้องกลับมามองระบบรวมถึงกายภาพของสนามบินอีกครั้งว่าจะต้องมีการปรับปรุงอย่างไร เช่น แนวกั้นของ Control Post ที่เป็นแท่งๆ ป้องกันได้เฉพาะรถยนต์ก็อาจต้องมาดูแบบใหม่ที่เป็นแบบแผงป้องกัน เหมือนด้านหน้าสถานฑูต เป็นต้น
ด้าน พ.ต.อ.จิรวัฒน์ ผกก.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า เบื้องต้นได้แจ้งความดำเนินคดีทั้งหมด 7 ข้อหา ดังนี้
1.ใช้อาวุธหรือวัสดุอื่นใด กระทําการทำลายหรือทำให้เสียหายอย่างร้ายแรง ต่ออากาศยานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกของอากาศยาน
2.บุกรุก ด้วยไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไปในสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย
3.ทำให้เสียทรัพย์
4.พาอาวุธ (ขวาน) ไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร
5.มียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย
6.เสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1
7.ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือความตกใจโดยการขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
พ.ต.อ.จิรวัฒน์ กล่าวว่า เมื่อวานผู้ต้องหาพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อคืนนี้เจ้าหน้าที่ตรวจหาสารเสพติดในตัวผู้ต้องหา พบว่ามีสารเสพติดในร่างกาย เช้านี้เริ่มมีสติโต้ตอบ เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาพักอาศัยอยู่ในบางพลี มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ช่วงปี 2557 เคยโดนจับยา 2 คดี ทั้งนี้ ตามกำหนดแล้วต้องส่งศาลวันพรุ่งนี้
สำหรับการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 ตามมาตรา 19 ข้อหาใช้อาวุธหรือวัสดุอื่นใดกระทำการอันอาจเป็นอันตรายหรือน่าจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของท่าอากาศยาน มีระวางโทษหนักอาจถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี และปรับตั้งแต่ 600,000-800,000 บาท.
ภาพจาก Suvarnabhumi Airport
ที่มา : tnnthailand / วันที่เผยแพร่ 4 พ.ค.65
Link : https://www.tnnthailand.com/news/wealth/112819/