FILE – In this March 30, 2021, file photo, people cross a busy street in the shopping district of Flushing, a largely Asian American neighborhood in the Queens borough of New York. (AP Photo/Kathy Willens, File)
ในขณะที่หน่วยราชการลับของสหรัฐฯ กำลังเร่งทำการติดตามและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับรัฐบาลจีนอย่างไม่ลดละอยู่นี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกรุงวอชิงตันยอมรับว่า ความพยายามดังกล่าวอาจนำไปสู่การสอดแนมและเก็บข้อมูลทั้งหลายของชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ซึ่งหมายถึง การล่วงละเมิดเสรีภาพพลเมืองของประเทศนั่นเอง
รายงานฉบับล่าสุดจาก สำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ (Office of the Director of National Intelligence – ODNI) นำเสนอคำแนะนำหลายข้อให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสืบราชการลับพิจารณาลองนำไปปฏิบัติ เช่น การอบรมเรื่องการมีอคติโดยไม่รู้ตัว (unconscious bias) และการประกาศย้ำให้กับบุคลากรของหน่วยงานว่า กฎหมายของสหรัฐฯ ห้ามไม่ให้มีการพุ่งเป้าการสืบสวนไปที่ผู้ใดผู้หนึ่งเพียงเพราะเชื้อชาติของคน ๆ นั้น
ที่ผ่านมา หน่วยงานราชการลับของสหรัฐฯ ต้องทำงานภายใต้แรงกดดันอย่างมากให้พยายามหาข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการตัดสินใจของจีนในเรื่องต่าง ๆ เช่น อาวุธนิวเคลียร์ ประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ และต้นกำเนิดของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยการทำงานเพื่อต่อต้านอิทธิพลของจีนนี้ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างหนักแน่นจากสมาชิกสภาคองเกรสที่สังกัดทั้งสองพรรคใหญ่ แต่กลุ่มสิทธิพลเมืองและนักเคลื่อนไหวต่าง ๆ กลับแสดงความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินการที่ไม่เสมอภาคกันต่อผู้ที่มีเชื้อสายจีน เมื่อเทียบกับชาวอเมริกันเชื้อสายอื่น ๆ
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่ยังติดต่อกับญาติหรือเพื่อนฝูงในประเทศจีนมีโอกาสที่จะถูกดักฟังการสนทนาและสื่อสารได้ง่ายกว่าคนอเมริกันกลุ่มอื่น แม้ว่า หน่วยงานราชการลับจะไม่มีการเก็บตัวเลขด้านนี้ไว้เนื่องจากความกังวลด้านเสรีภาพพลเมือง
A report issued by the Office of the Director of National Intelligence is photographed in Washington, June 14, 2022. As America’s intelligence agencies ramp up efforts against China, top officials acknowledge they may also end up collecting more phone cal
ทำไมรัฐบาลอเมริกันถึงมีการเลือกปฏิบัติ?
อันที่จริง รัฐบาลสหรัฐฯ มีประวัติเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองบางกลุ่มโดยอ้างเรื่องของความมั่นคงของประเทศมานานแล้ว อย่างเช่น กรณีของชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นที่ถูกบังคับให้ไปใช้ชีวิตอยู่ในค่ายกักกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือ กรณีผู้นำชุมชนผิวสีที่ถูกรัฐบาลเฝ้าสอดแนมในขณะที่มีการเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมืองในช่วงปีคริสต์ทศวรรษที่ 1960 หรือ กรณีที่ทางการจับตาดูมัสยิดทั้งหลายหลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน รวมทั้ง การที่ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนถูกเลือกปฏิบัติหลังรัฐบาลผ่านกฎหมาย Chinese Exclusion Act ในปี ค.ศ.1882 โดยกฎหมายดังกล่าวเป็นฉบับแรกในประวัติศาสตร์อเมริกาที่สั่งห้ามชนชาติพันธุ์หนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจงไม่ให้อพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาสหรัฐฯ
อาร์ยานี ออง ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหว Asian American Federal Employees for Non-Discrimination ระบุว่า บางครั้ง คนที่มีเชื้อสายเอเชีย “ไม่ได้รับความไว้วางใจเท่ากับชาวอเมริกันที่ได้ชื่อว่าจงรักภักดี” และว่า รายงานของ ODNI ที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมนั้น น่าจะเป็นประโยชน์ในการหารือและถกประเด็นที่เธอเรียกว่าเป็น ‘ความสัมพันธ์ลวงระหว่างสิทธิพลเมืองและการปกป้องประเทศ’
ออง ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอินโดนีเซียและจีน กล่าวว่า มีหลายครั้งที่มีการกล่าวอ้างว่า ความมั่นคงของประเทศจะต้องมาเป็นที่หนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า แล้วการปกป้องสิทธิ์ของชาวอเมริกันเชื้อสายจีนตามรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องขัดแย้งกับการปกป้องประเทศหรือ
แต่เมื่อมีการกดดันหน่วยงานด้านการสืบราชการให้แยกแยะเรื่องของเชื้อชาติจากการสืบสวนต่าง ๆ ให้ชัดเจน ก็จะได้รับคำตอบว่า การระบุข้อมูลประชากรเกี่ยวกับผลกระทบของกระบวนการเฝ้าระวังภัยของรัฐนั้นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวของมันเอง เพราะการตรวจสอบปูมหลังของพลเมืองสหรัฐฯ ที่ถูกสืบสวนอยู่ หมายถึง การที่เจ้าหน้าที่ต้องรุกล้ำเข้าไปในชีวิตของคนเหล่านั้นลึกเข้าไปอีก
การเก็บข้อมูลได้โดยบังเอิญ
อีกประเด็นหนึ่งที่รายงานของ ODNI หยิบยกขึ้นมาพูดถึงคือ เรื่องของ “การเก็บข้อมูลได้โดยบังเอิญ” ซึ่งยิ่งทำให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลอเมริกันมากขึ้น
ในการทำหน้าที่ตามปกตินั้น หน่วยสืบราชการสหรัฐฯ สามารถเก็บข้อมูลการสื่อสารต่าง ๆ ระหว่างชาวต่างชาติที่เป็นเป้าหมายการสืบค้น กับพลเมืองอเมริกันที่ไม่ได้เป็นเป้าการสืบค้นได้ และหน่วยงานดังกล่าวยังสามารถเก็บรายละเอียดการใช้งานโทรศัพท์หรืออีเมล์ของพลเมืองสหรัฐฯ รายอื่น ๆ ในระหว่างที่รวบรวมข้อมูลการสื่อสารของชาวต่างชาติที่เป็นเป้าอยู่ได้ด้วย
ในความเป็นจริง สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (National Security Agency – NSA) มีอำนาจในมือล้นเหลือที่จะทำการจับตาดูการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกประเทศ ดังที่ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตลูกจ้างของหน่วยงานนี้นำเอกสารออกมาเปิดเผยให้โลกได้รับรู้เมื่อหลายปีก่อน และภายใต้กฎของ NSA นั้น จะต้องมีเจ้าหน้าที่ 2 คนลงนามอนุมัติการจับตาดูชาวต่างชาติคนใดก็ตามเสียก่อน โดย NSA จะปิดบังตัวตนของพลเมืองชาวอเมริกันที่เกี่ยวข้องในการเฝ้าจับตา ตามที่กฎหมายของประเทศและแนวปฏิบัติการดำเนินงานของหน่วยงานข่าวกรองระบุไว้ แต่จะส่งมอบรายละเอียดใด ๆ ก็ตามของพลเมืองในประเทศที่น่าสงสัยให้กับสำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ (FBI) ทำการสืบสวนต่อไป
ทั้งนี้ FBI สามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่ NSA เก็บรวบรวมไว้โดยไม่ต้องขอหมายศาล ซึ่งนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมืองแย้งว่า การสืบคนภายใต้กฎหมายมาตรา 702 ของประเทศนั้น ส่งผลให้สมาชิกชนกลุ่มน้อยกลายเป็นเป้าสืบสวนมากกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ
ในประเด็นนี้ รายงานของ ODNI ระบุไว้ว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน “อาจมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการ(ตกเป็นเป้าการ)เก็บข้อมูลโดยบังเอิญ” เช่นเดียวกับชาวอเมริกันที่ไม่ได้มีเชื้อสายจีนแต่ทำธุรกิจหรือมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับคนในประเทศจีน
นอกจากนั้น รายงานนี้ยังเปิดเผยผลการศึกษากรณีความล่าช้าในการอนุมัติการเข้าถึงข้อมูลชั้นความลับ (security clearance) และประเมินว่า ผู้ที่มีเชื้อสายจีนหรือเอเชียนั้นจะต้องรอกระบวนการตรวจสอบประวัติปูมหลังนานกว่าผู้ที่มีเชื้อชาติอื่น ๆ หรือไม่
และแม้จะไม่มีข้อมูลสาธารณะใด ๆ เกี่ยวกับการอนุมัติดังกล่าวให้อ้างอิง ผู้ยื่นเรื่องของการอนุมัติบางรายที่มาจากชุมชนคนกลุ่มน้อยมักตั้งคำถามว่า ตนต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบพิเศษเนื่องจากเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ของตนหรือไม่
U.S. President Joe Biden speaks virtually with Chinese leader Xi Jinping from the White House in Washington, U.S. November 15, 2021.
‘ไม่มีที่ว่างสำหรับ อคติ’
นอกจากนั้น รายงานของ ODNI ยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของแผนงานอบรมของ FBI เกี่ยวกับเชื้อชาติและชาติพันธุ์ ว่าเป็น ‘แนวปฏิบติที่เป็นเลิศ’ (best practice) ในการทำงานของหน่วยงานข่าวกรอง โดย FBI มีแถลงการณ์ที่ระบุว่า “ไม่มีพื้นที่สำหรับอคติหรือความเอนเอียงใด ๆ ในชุมชนของเรา” และว่า เจ้าหน้าที่ทุกคนของหน่วยงานแห่งนี้ได้รับการอบรมมาให้ “เคารพและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ” และเพื่อ “ปฏิบัติต่อทุกด้วยการให้เกียรติ มีความเข้าอกเข้าใจและด้วยความเคารพ” เสมอ
เมื่อปีที่แล้ว สำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐฯ (CIA) ประกาศใช้คำสั่งชุดใหม่ให้แก่เจ้าหน้าที่ของตน ซึ่งมีเนื้อหาเชื้อเชิญให้ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ใช้คำว่า Chinese (คนจีน/ภาษาจีน) เวลาที่พูดถึงรัฐบาลจีน และแนะให้ใช้คำว่า China (จีน) หรือ People’s Republic of China หรือ PRC (สาธารณรัฐประชาชนจีน) หรือ (Beijing) ปักกิ่ง เมื่อพูดถึงตัวรัฐบาล และใช้คำว่า Chinese เมื่อพูดถึงประชาชนชาวจีน ภาษา หรือ วัฒนธรรมจีน
วิลเลียม เบิร์นส ผู้อำนวยการ CIA กล่าวไว้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ระหว่างเข้าร่วมงานกิจกรรมของสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย (Georgia Institute of Technology) ว่า “สิ่งสำคัญที่ทุกคนควรเข้าใจตรงกันคือ เรา (สหรัฐฯ) นั้นมีความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามจากสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ PRC – ไม่ใช่จากประชาชนชาวจีน ซึ่งรวมไปถึงชาวอเมริกันที่มีเชื้อสายจีนหรือเอเชียด้วย”
ที่มา: วีโอเอ
ที่มา : voathai / วันที่เผยแพร่ 17 มิ.ย.65
Link : https://www.voathai.com/a/spy-agencies-focus-on-china-could-snare-chinese-americans/6620749.html