หาทางเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการในอนาคตเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
หลายสิบปีก่อนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญด้วยการมาถึงของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และปัจจุบันเราก็กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนอีกครั้งด้วยการมาถึงของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอที่ทำให้จินตนาการของเราที่สะท้อนผ่านภาพยนตร์ในอดีตเป็นจริงในวันนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็น ยานยนต์ไร้คนขับ ร้านค้าไร้พนักงาน ระบบการเงิน การธนาคารที่ใช้เอไอวิเคราะห์แทนพนักงานไปจนถึงการบริการลูกค้าผ่านแชตบอต ฯลฯ
รวมไปถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ โดยเฉพาะการรักษาโรคที่มีความสลับซับซ้อน หรือการคิดคันยารักษาโรคใหม่ๆ ที่ล้วนมีเอไอและบิ๊กดาต้าอยู่เบื้องหลัง
แต่โอกาสที่เกิดขึ้นจากเอไอก็มาพร้อมความเสี่ยงของหลายๆ สาขาอาชีพที่กำลังจะถูกเทคโนโลยีเอไอเข้ามาทำหน้าที่แทน โดยเฉพาะงานที่ทำซ้ำๆ ไม่สลับซับซ้อน ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เฉพาะตัวมากนักก็ล้วนมีแนวโน้มว่าจะถูกทดแทนโดยคอมพิวเตอร์
ความก้าวหน้าของเอไอจึงเริ่มจากงานง่ายๆ ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยทักษะมากนัก เช่น งานเอกสาร การวิเคราะห์ตัวเลขที่มีรูปแบบตายตัว แต่ทุกวันนี้ด้วยการใช้ Deep Learning , Machine Learning และการสอนให้คอมพิวเตอร์เข้าใจโจทย์ที่มนุษย์ต้องการ เราจึงเห็นการใช้งานที่สลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์อย่างการวาดภาพ การแต่งเพลง ไปจนถึงการเขียนเรื่องสั้น
ในช่วงเวลานี้จึงเหมาะที่สุดแล้วที่เราจะได้ทบทวนตัวเองอีกครั้ง ด้วยเวลาที่เรามีเหลือจากการทำงานมากขึ้นเพราะเอไอเข้ามารับผิดชอบแทน เราจึงควรขบคิดว่ามูลค่าที่แท้จริงของตัวเราอยู่ตรงไหน และจะใช้เวลาที่ได้เพิ่มขึ้นมานี้เพิ่มพูนทักษะอะไรขึ้นมาอีก
เพราะนับต่อจากนี้ไปความผันผวนที่เกิดขึ้นจากมุมใดของโลกก็ตามจะส่งผลกระทบไปถึงทุกประเทศทั่วโลกไม่ต่างอะไรกับโรคโควิด-19 ที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เช่นเดียวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนและความขัดแย้งล่าสุดคือจีนกับไต้หวัน
ยังไม่นับรวมวิกฤติจากภาวะโลกร้อนที่เราจำเป็นต้องหาทางรับมือจนทำให้วิถีในการทำงานของเราต้องเปลี่ยนไป การมาถึงของเทคโนโลยีเอไอจึงเป็นเพียงอีกปัจจัยหนึ่งเท่านั้น เราจึงต้องใช้ทัศนคติเชิงบวกมองการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายให้เป็นโอกาสให้มากที่สุด
ย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่เราเห็นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นตามมาอีกมหาศาล ไม่ต่างอะไรกับในอดีตที่คนเรามองรถจักรไอน้ำว่าเป็นเพียงรถไฟสำหรับขนส่ง แต่ในความเป็นจริงมันก่อให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ ที่เปลี่ยนรูปแบบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมทั้งโลกจนไม่ต้องขึ้นอยู่กับแรงงานมนุษย์อีกต่อไป
ในยุคนั้นแน่นอนว่าต้องมีคนตกงานนับล้านคนทั่วโลกเพราะถูกเครื่องจักรกลเข้ามาทำงานแทนที่ แต่ยุคนั้นก็ทำให้เกิดการยกระดับการเรียนรู้ครั้งใหญ่เพราะมนุษย์เห็นแล้วว่าลำพังเพียงแรงงานไม่อาจใช้หาเลี้ยงชีพให้กับตัวเองได้ต่อไป แต่การใช้สมองต่างหากที่จะช่วยให้มีทักษะใหม่ ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในอนาคต
เช่นเดียวกับทุกวันนี้ที่เราจะมองเทคโนโลยีเอไอว่าเป็นตัวคุกคามหน้าที่การงานของเราในปัจจุบันก็ไม่ผิดไปจากความเป็นจริงนัก แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ การมองโลกในแง่บวกคือเข้าใจความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้วหาทางเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการในอนาคตจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ทัศนคติเชิงบวกจึงสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เพราะเราจะมองการเปลี่ยนแปลงในแง่บวก ไม่ใช่กลายเป็นคนที่ถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี แต่ต้องพร้อมจะพัฒนาตัวเองไปสู่โลกอนาคต
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / วันที่เผยแพร่ 2 ส.ค.65
Link : https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/columnist_ceoblog/1018646