(Photo by Ben STANSALL / AFP)
รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศจะผ่อนคลายข้อจำกัดในการนำของเหลวผ่านสัมภาระขึ้นเครื่องที่สนามบินอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษประกาศผ่อนคลายข้อจำกัดในการนำของเหลวผ่านสัมภาระถือขึ้นเครื่องบิน โดยจะค่อยๆเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 เป็นต้นไป
ปัจจุบัน ข้อจำกัดอนุญาตให้นำภาชนะบรรจุที่มีขนาดน้อยกว่า 100 มล. เข้าไปในห้องโดยสารของเครื่องบินในสนามบินนานาชาติเท่านั้น โดยจะต้องบรรจุในถุงใสที่จุดตรวจรักษาความปลอดภัย หากของเหลวมีปริมาณเกินกว่าที่กำหนดต้องเก็บในกระเป๋าสัมภาระและเช็คอินเพื่อนำไปโหลดใต้ท้องเครื่อง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น แล็ปท็อป ต้องนำออกจากกระเป๋าสัมภาระดังกล่าวด้วย
กรมการขนส่งอังกฤษระบุในแถลงการณ์ กล่าวว่า ภายใต้ร่างกฎหมายใหม่ที่จะนำเสนอต่อรัฐสภาในวันพฤหัสบดี ขีดจำกัดสำหรับของเหลวจะเพิ่มปริมาณเป็น 2 ลิตร (2,000 มล.) และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะไม่ต้องตรวจสอบแยกต่างหากอีกต่อไป
กฎและข้อจำกัดเรื่องของเหลวที่นำมาใช้ในช่วงต้นทศวรรษปี 2000 เพื่อป้องกันการใช้ของเหลวในการทำให้เกิดระเบิดบนเครื่องบิน ได้กลายเป็นข้อผูกมัดสำหรับนักเดินทางที่ต้องต่อคิวยาวในการตรวจสอบ
“การผ่อนปรนดังกล่าวเป็นผลมาจากการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในสนามบินหลักในสหราชอาณาจักรในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยเครื่องแสกนที่ล้ำสมัยจะให้ภาพสามมิติที่มีรายละเอียดมากขึ้นแก่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อตรวจสอบสิ่งที่ผู้เดินทางบรรจุในสัมภาระของพวกเขา” กรมการขนส่งฯ ระบุ
มาร์ค ฮาร์เปอร์ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า เทคโนโลยีเอกซเรย์ CT ที่คล้ายกันนี้ใช้ “อัลกอริทึมการตรวจจับภัยคุกคามขั้นสูง” และกำลังจะเปิดตัวที่สนามบินอื่น ๆ ทั่วโลก
“ภายในปี 2567 สนามบินใหญ่ ๆ ทั่วสหราชอาณาจักรจะมีการติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยล่าสุด ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการรอคิว, ปรับปรุงประสบการณ์การเดินทางของผู้โดยสาร และที่สำคัญที่สุดคือตรวจจับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น” เขากล่าวเสริม
กฎเกี่ยวกับของเหลวถูกนำมาใช้อย่างเข้มงวดขึ้นหลังจากชายชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ ริชาร์ด รี้ด พยายามระเบิดเครื่องบินไอพ่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในเดือนธันวาคมปี 2544 โดยใช้วัตถุระเบิดที่ทำเองซึ่งซ่อนอยู่ในรองเท้าของเขา.
————————————————————————————————————————————————
ที่มา : ไทยโพสต์ / วันที่เผยแพร่ 15 ธ.ค.65
Link : https://www.thaipost.net/abroad-news/284599/