แต่ไหนแต่ไร เวลาเกิดเหตุการณ์ “แผ่นดินไหว” ผู้คนมักจะแตกตื่นกลัว เพราะคิดว่าโลกกำลังจะแตก ปฐพีจะถล่มทลาย และสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความหายนะ คือ พฤติกรรมชั่วของมนุษย์ ที่ได้ทำให้เทพเจ้าทรงพิโรธ พระองค์จึงทรงบันดาลให้พื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนอาคารบ้านเรือนพังพินาศ และผู้คนจำนวนมาก (อาจจะนับแสน) ต้องเสียชีวิต ตลอดจนถึงสภาพแวดล้อมก็จะถูกทำลายจนเสียหาย ซึ่งการสูญเสียที่มากจนประมาณค่ามิได้นี้ เป็นบทเรียนให้ผู้คนต้องปรับเปลี่ยนการดำรงวิถีชีวิต และภัยหายนะนี้ มีส่วนผลักดันให้นักวิทยาศาสตร์พยายามหาวิธีป้องกันภัย และหาวิธีทำนายภัยล่วงหน้าเป็นเวลานาน ๆ เพื่อให้รู้ชัดว่า แผ่นดินไหวจะเกิด ณ ที่ใด ณ เวลาใด และจะรุนแรงเพียงใดด้วย ประสบการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้รู้ว่า เรามีความรู้เกี่ยวกับอวกาศนอกโลกดียิ่งกว่าความรู้ที่เรามีเกี่ยวกับเหตุการณ์ใต้โลกเสียอีก
อันที่จริงโลกมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้นทุกวัน แต่การสั่นสะเทือนในบางครั้งก็น้อยมาก จนไม่มีใครรู้สึก และบางครั้งแผ่นดินก็สั่นไหวในบริเวณที่ห่างไกลผู้คน จึงไม่มีใครเห็นหรือสัมผัสเหตุการณ์ แต่นักประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกเหตุการณ์แผ่นดินไหว พร้อมความเสียหายที่เกิดขึ้นไว้แทบทุกครั้ง เช่น ที่เมือง Alexandria ในอียิปต์ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 365 ซึ่งในครั้งนั้นจุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนอยู่ในทะเล Mediterranean ทำให้เกิดคลื่นสึนามิที่มีขนาดมโหฬารจนชาวเมืองคิดไปว่า น้ำกำลังจะท่วมโลกเป็นครั้งที่สอง ความเสียหายที่เกิดขึ้น ณ เมือง Alexandria ซึ่งมีประภาคารอันเป็น 1 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกโบราณ และมีห้องสมุดให้ Euclid (400-300 ปีก่อนคริสตกาล) ได้ค้นคว้าและสร้างวิชาเรขาคณิตกับ Eratosthenes (276-194 ปีก่อนคริสตกาล) ได้วัดเส้นรอบวงของโลก และเป็นสถานที่ที่พระนาง Cleopatra (69-30 ปีก่อนคริสตกาล) ทรงสิ้นพระชนม์ ครั้นเมื่อ Alexandria ถูกถล่ม เพราะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวผสมผสานกับการมีคลื่นสึนามิ กษัตริย์โรมันก็ได้เข้ายึดครองอียิปต์
ในวันที่เกิดเหตุ ชาวเมืองที่รอดชีวิตได้รายงานว่า ได้ยินเสียงฟ้าร้อง และได้เห็นฟ้าแลบไปทั่ว จากนั้นน้ำทะเลที่ชายหาดได้ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว จนฝูงปลาจำนวนมาก ต้องตกค้างอยู่บนชายหาด แล้วคลื่นสึนามิก็ได้ถาโถมเข้าทำลายเมือง มีผลให้ชาวเมือง 50,000 คน จมน้ำตาย และอารยธรรมอียิปต์ได้เริ่มล่มสลาย
เหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ที่เมือง Lisbon ในโปรตุเกส เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 1755 เมืองนี้ตั้งอยู่บนปากแม่น้ำ Tagus เป็นศูนย์กลางการค้าของยุโรปในเวลานั้น และมีพลเมือง 275,000 คน ในวันเกิดเหตุประชาชนกำลังสวดมนต์เช้าในโบสถ์ แล้วระฆังโบสถ์ก็ดังขึ้น ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครตี จากนั้นตะเกียงที่แขวนอยู่ในโบสถ์ก็ได้แกว่งอย่างรุนแรงมาก ต่อมาอีกไม่นาน อาคาร ตึกรามได้เริ่มล้มระเนระนาด บ้านเรือน 17,000 หลังถูกทำลาย คลื่นสึนามิที่สูง 15 เมตร ได้ไหลท่วมทะลักเมือง ทำให้ชาวเมืองจมน้ำตาย 30,000 คน ครั้นเมื่ออาคารที่เป็นคุกแตก นักโทษก็ได้หลบหนีออกไปปล้นทรัพย์สินของชาวบ้าน ความวุ่นวายและความเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้รัฐบาลโปรตุเกสต้องลาออก เพราะไม่สามารถปกครองประเทศได้อีกต่อไป ทั้ง ๆ ที่ชาวโปรตุเกสเป็นชนชาติที่เคร่งศาสนามาก ความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ทำให้คริสต์ศาสนิกชนหลายคนในเวลานั้นเลิกนับถือคริสต์ศาสนา เพราะคิดว่าแม้แต่คนดีย์ ๆ พระเจ้าก็ยังทรงทอดทิ้ง
ความสูญเสียอย่างมหาศาลที่เกิดขึ้น ณ เมือง Lisbon ได้ทำให้วิทยาการด้านแผ่นดินไหวถือกำเนิด เพื่อจะให้นักวิทยาศาสตร์รู้ชัดว่า อะไรคือสาเหตุที่เป็นต้นกำเนิด และเหตุการณ์จะเกิด ณ เวลาใด หรือถ้ามีคลื่นสึนามิเกิดขึ้นด้วย คลื่นยักษ์จะสูงเพียงใด และความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเป็นเช่นไรบ้าง
ในประเด็นสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวนั้น ผู้เฒ่าในดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลกได้ปลูกฝังความเชื่อต่าง ๆ มากมาย เช่น คนญี่ปุ่นเชื่อว่าแผ่นดินไหว เพราะแมงมุมที่แบกโลกอยู่ได้ขยับขา Pythagoras (570-495 ก่อนคริสตกาล) นักปรัชญากรีกเชื่อว่า คนที่ตายไปแล้ว ได้ลุกขึ้นมาทำสงครามใต้ดินกัน ด้าน Aristotle (384-322 ก่อนคริสตกาล) ก็เชื่อว่า เสียงคำรามที่เกิดขณะแผ่นดินไหว เป็นเพราะอากาศที่อยู่ใต้ดินได้พยายามเล็ดรอดออกมา (ซึ่งความเชื่อในคำสอนของ Aristotle นี้ ได้มีมาจนถึงสมัยของ Edmond Halley (1656-1742) ผู้พบดาวหาง Halley ก็ยังเชื่อว่า ใต้โลกมีชั้นบรรยากาศ) สำหรับคนจีนโบราณเมื่อ 3,000 ปีก่อน ก็เชื่อว่า การประพฤติชั่วของเหล่าขุนนาง คือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เป็นต้น
ประสบการณ์ที่นักวิทยาศาสตร์ได้จากการศึกษาเหตุการณ์แผ่นดินไหว คือ ปรากฏการณ์นี้มักจะเกิดในบางบริเวณบ่อย และสามารถเกิดได้ตลอดเวลา โดยไม่มีการเตือนภัยล่วงหน้านานๆ ยิ่งถ้าเกิดในเวลากลางคืน ซึ่งทุกคนกำลังพักผ่อน การหนีตายจะเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีวิทยาศาสตร์ ผู้คนจึงอาศัยโหรและประสาทสัมผัสของสัตว์ชนิดต่าง ๆ ในการเตือนภัย
นักประวัติศาสตร์กรีก ชื่อ Thucydides (ก่อนคริสตกาล 460-400 ปี) ได้บันทึกว่าที่ เมือง Helice ในกรีซ ก่อนแผ่นดินจะไหว บรรดาหนู แมว และสุนัขจะพากันกรูวิ่งออกจากเมือง ส่วนชาวจีนได้สังเกตเห็นหงส์จะบินขึ้นจากสระในทันทีทันใด เสือที่อยู่ในกรงจะหยุดเดินอย่างไม่มีเหตุผล ระดับน้ำในบ่อจะเปลี่ยนแปลงมากอย่างผิดปกติ และมักมีกลิ่นประหลาด คนญี่ปุ่นโบราณอ้างว่าได้เห็น นกหงส์หยก พิราบ ค้างคาว ปลาซาร์ดีน และจามรี แสดงพฤติกรรมประหลาด ๆ ด้านวัวและม้าจะส่งเสียงร้องดัง และแสดงอาการดื้อดึง ไม่ยอมถูกต้อนเข้าคอก สุนัขจะหอนโหยหวน แม้แต่ปลาคาร์ปก็พยายามกระโดดหนีจากบ่อเลี้ยง เมื่อปลาดุกยักษ์ที่หนุนโลกอยู่ได้พลิกตัว สำหรับคนรัสเซียก็อ้างว่า ก่อนเกิดเหตุ กุ้งจะตะเกียกตะกายขึ้นจากบ่อเลี้ยง มดจะรีบขนไข่ออกจากรัง ไก่ฟ้าจะส่งเสียงร้องดัง และหมีขาวจะหยุดจำศีลก่อนครบกำหนดเป็นเวลานานถึงสองสัปดาห์ เป็นต้น
ความเชื่อเรื่องสัตว์มีสัญชาติญาณพิเศษ (Extra Sensory Perception, ESP) ได้มีมานาน จนกระทั่งเมื่อ 100 มานี้เอง นักวิทยาศาสตร์จึงได้เริ่มทดสอบความสามารถพิเศษนี้ เช่นที่ประเทศญี่ปุ่น นักวิจัยที่ Asamushi Marine Biological Station ได้ศึกษาปฏิกิริยาตอบสนองของปลาดุกต่อการกระตุ้นเร้าเชิงกล ที่จะเกิดเวลาเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยนำปลาดุกมาเลี้ยงในถังที่มีน้ำจากภูเขาที่ปลาดุกอาศัยอยู่ และผนังอ่างทำด้วยไม้ ซึ่งนักวิจัยจะเคาะผนังวันละ 3 ครั้ง และผลปรากฏว่า ไม่ว่าเขาจะเคาะแรงสักปานใด แรงกระแทกที่เกิดขึ้นก็ไม่มีผลทำให้ปลาพยายามกระโดดหนีขึ้นจากถัง
ในการทดลองโดยใช้แรงกระตุ้นเชิงไฟฟ้า ด้วยการจุ่มขั้วไฟฟ้า (electrode) ลงในอ่าง ก็ได้พบว่าปลามีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสนามไฟฟ้าในอ่างบ้างเล็กน้อย สำหรับการทดลองในประเด็นนี้ได้มีการพบว่า เวลาเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว สนามไฟฟ้าในบริเวณนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ในอเมริกา ที่ Stanford Outdoor Primate Facility (SOPF) ก็มีการศึกษาเรื่องพฤติกรรมของลิงชิมแปนซีก่อนที่แผ่นดินจะไหว เพราะหน่วยวิจัยนี้ตั้งอยู่ใกล้รอยเลื่อน San Andreas และนักวิจัยได้พบว่าลิงจะแสดงอาการกระวนกระวาย กระสับกระส่ายมาก เป็นเวลาประมาณ 8 ชั่วโมงก่อนแผ่นดินจะไหวจริง
แต่ผลการทดลองเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพราะเหตุการณ์แผ่นดินไหวในแต่ละครั้งไม่เคยเหมือนกันเลย และเมื่อสัตว์ที่นำมาใช้ในการทดลองนั้นก็ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อน การตอบสนองที่มันแสดงออกจึงเป็นเรื่องที่จะปักใจเชื่อได้ยากยิ่ง เมื่อความรุนแรงของเหตุการณ์ขึ้นกับความดันอากาศ ความเอียงของแผ่นดิน การนำไฟฟ้าของหิน การปล่อยแก๊สต่าง ๆ ออกมา ระดับน้ำใต้ดินและอุณหภูมิ ซึ่งในแต่ละสถานที่และแต่ละเวลา ไม่เคยเหมือนกัน คือ แตกต่างกันในทุกกรณี ดังนั้นปฏิกิริยาตอบสนองของสัตว์ จึงขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ มากมายตามฤดู ตามเวลา ตามอายุ และตามประสบการณ์ของมัน (ซึ่งแทบไม่มีเลย) ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากนักวิทยาศาสตร์จะไม่มีความรู้เรื่อง ปฏิกิริยาตอบสนองของสัตว์ต่อปัจจัยต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์แล้ว เราก็ไม่มีข้อมูลทางกายภาพของแผ่นดิน ก่อนแผ่นดินจะไหวด้วย
ด้วยเหตุนี้ การใช้พฤติกรรมของสัตว์เป็นอุปกรณ์พยากรณ์เหตุการณ์แผ่นดินไหว จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับ และพฤติกรรมประหลาด ๆ ของสัตว์ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์นั้น ก็ถือว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อสภาพแวดล้อมในบริเวณนั้น ณ เวลานั้นมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมนุษย์มิสามารถใช้สัตว์เป็น Nostradamus สำหรับเรื่องนี้ได้ มนุษย์จึงต้องพึ่งพาความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง โดยสร้างอุปกรณ์เตือนภัย และวัดความรุนแรงของภัยชนิดนี้ขึ้นมา
จีนเป็นประเทศหนึ่งของโลกที่ประสบภัยแผ่นดินไหวบ่อย ความเสียหายอย่างมหาศาลได้ผลักดันให้จีนมีวีรบุรุษคนหนึ่งชื่อ Zhang Heng ซึ่งได้สร้างอุปกรณ์เตือนภัยแผ่นดินไหวเป็นครั้งแรก
Zhang เกิดเมื่อค.ศ. 78 ที่หมู่บ้าน Xie ใกล้เมือง Nanyang ในมณฑล Henan เมื่ออายุได้ 10 ปี Zhang ก็กำพร้าบิดา มารดากับยายจึงรับภาระเลี้ยงดู และให้การศึกษาต่อจนกระทั่งอายุ 16 ปี Zhang เริ่มแสดงความสามารถทางการประพันธ์โคลง กลอน และได้ออกเดินทางจากบ้านเกิดไปเรียนต่อที่เมือง Chang’an กับ Luoyang ขณะอยู่ที่นั่น Zhang ได้เขียนหนังสือหลายเล่ม จนมีชื่อเสียง
เมื่ออายุได้ 23 ปี Zhang ได้กลับบ้านเกิด เพื่อทำงานเป็นอาลักษณ์ให้เจ้าเมืองชื่อ Bao He โดยมีหน้าที่เก็บเอกสารต่างๆ ทางราชการ
เมื่อจักรพรรดิ He เสด็จสวรรคตในปี 106 Zhang ในวัย 28 ปี เริ่มสนใจวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวิชาดาราศาสตร์ เพราะสังคมจีนในเวลานั้นเชื่อมั่นในอิทธิพลของดวงดาวต่าง ๆ ว่า สามารถกำหนดชะตาชีวิตของคนทุกคนบนโลกได้ จนถึงกับมีคำกล่าวว่า อดีตของมนุษย์ถูกฝังอยู่ใต้ดิน บนดินคือสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ในปัจจุบัน และตำแหน่งของดวงดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้า เป็นตัวกำหนดชีวิตในอนาคตของคนทุกคน ดังนั้นเมื่อใดที่มีการเรียงตัวของดาวเคราะห์ทั้งหลายในท้องฟ้า นั่นคือ โองการจากสวรรค์ ให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองบนโลก เป็นต้น
Zhang มิได้ต้องการจะเป็นโหร เพราะเขาต้องการไทำแผนที่กลุ่มดาว และเมื่อเขาได้พบว่าดวงจันทร์ไม่มีแสงในตัวเอง การค้นพบนี้ทำให้สังคมจีนไม่พอใจในความเห็นที่ขัดแย้งกับความเชื่อของทุกคนในเวลานั้น เขาจึงถูกต่อต้าน แต่ก็ยังมีที่ยืนในสังคม เพราะเขาเป็นคนที่มีความสามารถสูง ทั้งทางวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ จึงได้รับโปรดเกล้าให้เข้าทำงานถวายต่อองค์จักรพรรดิ ในตำแหน่งนักดาราศาสตร์แห่งราชสำนัก ผู้มีหน้าที่เขียนประวัติศาสตร์ของชาติ และเก็บรวบรวมเอกสารทางราชการ
เมื่ออายุ 45 ปี Zhang เริ่มการปฏิรูปปฏิทินจีน เพื่อให้เทศกาลต่าง ๆ มีวันเฉลิมฉลองที่สอดคล้องกับปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ การเสนอแนะเช่นนี้ ทำให้โหรหลวงไม่พอใจ ดังนั้นเมื่อจักรพรรดิ An สิ้นพระชนม์ในวัย 32 พรรษา บ้านเมืองจึงตกอยู่ในอำนาจของขุนนางกังฉิน และอยู่ในสภาพปั่นป่วน Zhang ถูกสั่งในพักงาน แต่เมื่อจักรพรรดิ Shun องค์ใหม่เสด็จขึ้นครองราชย์ Zhang ก็ได้รับพระบรมราชโองการให้กลับไปถวายงานต่อ
ในปี 132 Zhang ได้ออกแบบสร้างอุปกรณ์สำหรับวัดการสั่นสะเทือนของแผ่นดิน และเรียกอุปกรณ์นี้ว่า Houfeng Didong Yi เพื่อวัดความเร็วลมและการสั่นไหวของแผ่นดิน แต่ Zhang อ้างว่า เพื่อใช้ตรวจสอบการฉ้อราษฎร์บังหลวง เพราะอุปกรณ์นี้จะทำงานทุกครั้งที่ขุนนางประพฤติชั่ว อุปกรณ์จับผิดคนชั่วนี้ได้ทำให้ขุนนางกังฉินทั้งหลายร้อนตัว กลัวภัยผิด Zhang จึงถูกกลั่นแกล้งและได้ขอลาออกจากราชสำนักไปเป็นเจ้าเมือง Hejian (Hebei) จนกระทั่งอายุ 60 ปี Zhang จึงเกษียณชีวิตทำงาน และได้เสียชีวิตที่เมือง Luoyang ในอีกหนึ่งปีต่อมา ศพได้ถูกนำไปฝังที่สุสานในบ้านเกิด ที่หมู่บ้าน Xie
ก่อนเสียชีวิตในปี 138 อุปกรณ์วัดแผ่นดินไหวของ Zhang ได้รายงานว่า ที่บริเวณทางทิศตะวันตกของเมือง Luoyang ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดย Zhang ได้ข่าวนี้ เพราะมีนักสื่อข่าวจากเมือง Luoyang นำรายงานมาแจ้งให้ Zhang ทราบในอีกสามวันต่อมา
แม้จะมีภูมิหลังที่สมถะมาก แต่ Zhang Heng ก็ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงส่งมาก โดยเป็นผู้ถวายรายงานในองค์จักรพรรดิหลายพระองค์ เพราะเขาเป็นคนที่มีความสามารถทางดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการประดิษฐ์ นอกจากนี้ก็มีผลงานด้านการเขียนและการประพันธ์ด้วย จนคนจีนทุกวันนี้ยกย่อง Zhang Heng ว่ายิ่งใหญ่เทียบเท่า Claudius Ptolemy (100-170 ก่อนคริสตกาล) ของกรีซ ซึ่งเป็นนักปราชญ์ในยุคเดียวกัน
ผลงานคณิตศาสตร์ของ Zhang ก็มีมากพอสมควร เช่น ได้พบวิธีวัดหาค่าของ π ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่างความยาวเส้นรอบวงของวงกลมใด ๆ ต่อความยาวเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลมนั้น และพบว่ามีค่า 3.162 นอกจากนี้ก็ยังได้ศึกษาจัตุรัสกล (magic square) ขนาด 3×3 ซึ่งมีตัวเลขในช่องต่าง ๆ ทั้ง 9 ช่อง โดยที่ผลรวมของเลขในแนวนอน แนวตั้ง และแนวทแยงเท่ากันหมดด้วย
ส่วนงานด้านดาราศาสตร์นั้น คือ Zhang ได้สร้างแผนที่ของกลุ่มดาว พร้อมชื่อดาว 320 ดวง และได้สังเกตดูดาวต่าง ๆ ด้วยตาเปล่าประมาณ 11,520 ดวง
ผลงานเหล่านี้ทำให้ชื่อ Zhang ได้ถูกนำไปเป็นชื่อของหลุมอุกกาบาตบนดวงจันทร์ชื่อ Chang Heng (หรือ Zhang Heng) และเป็นชื่อของดาวเคราะห์น้อย 1802 Zhang Heng วงการธรณีวิทยายังรู้จักแร่ zhanghengite ด้วย
สำหรับอุปกรณ์สังเกตเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ Zhang ออกแบบสร้างนั้น มีลักษณะเป็นโอ่งใบใหญ่ที่ทำด้วยทองสำริด ใช้บอกความรุนแรงของเหตุการณ์ในเชิงคุณภาพ (มิใช่ในเชิงปริมาณ) ภายในโอ่งที่สูง 2 เมตรนี้ มีแกนอยู่ในแนวสำหรับแขวนลูกตุ้ม pendulum ซึ่งสามารถแกว่งไป-มาได้ ผ่านระนาบที่สอดคล้องกับทิศที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งจะทำให้โอ่งสั่น ภายนอกโอ่งมีรูปปั้นมังกรแปดตัวเกาะติดอยู่ที่ผนังโอ่ง (ตามทิศทั้งแปด คือ เหนือ ใต้ ออก และตก กับทิศระหว่างกลาง) ในบริเวณพื้นราบนอกโอ่ง มีคางคกที่ทำด้วยทองแดง 8 ตัว กำลังอ้าปากรับลูกบอลที่จะทะลักออกจากปากมังกร
ดังนั้นเวลาแผ่นดินไหว ลูกตุ้ม pendulum จะแกว่งในทิศที่เหตุการณ์เกิด ทำให้ลูกบอลไหลไปสู่มังกรที่อยู่ในทิศนั้น แล้วตกลงสู่ปากคางคกทันที
แต่อุปกรณ์ต้นแบบที่ Zhang สร้างได้สาบสูญไปแล้ว ดังนั้นในช่วงปี 2010-2020 สถาบัน Chinese Academy of Sciences ของจีน ภายใต้การนำโดยนักธรณีฟิสิกส์ชื่อ Feng Rui ได้จำลองอุปกรณ์นี้ เพื่อนำออกแสดงในพิพิธภัณฑ์ Science and Technology ที่กรุงปักกิ่ง เพื่อให้โลกได้เห็นความพยายามครั้งแรกของมนุษย์ (คนจีน) ที่พยายามทำนายเหตุการณ์แผ่นดินไหว
บทความโดย ทีมข่าวผู้จัดการออนไลน์
————————————————————————————————————————————————————————
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ / วันที่เผยเเพร่ 10 ก.พ. 2566
Link : https://mgronline.com/science/detail/9660000013126