• ทางการสหรัฐฯ เร่งดำเนินการสืบสวน กรณีการรั่วไหลของเอกสารลับระดับสูงด้านข่าวกรองและการทหาร ซึ่งถูกเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต โดยมีรายละเอียดในหลายประเด็น เช่น สงครามยูเครน, จีน, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งรวมถึงข้อมูลการป้องกันทางอากาศของยูเครน และข้อมูลหน่วยสืบราชการลับของอิสราเอล
• ทางการสหรัฐฯ พยายามตรวจสอบแหล่งที่มาในการรั่วไหลของเอกสารลับระดับสูงดังกล่าว โดยผู้เชี่ยวชาญแสดงความสงสัยว่า อาจเป็นฝีมือคนในสหรัฐฯ
• ขณะที่การสืบสวนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งผู้ดำเนินการตรวจสอบไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่กลุ่มสนับสนุนรัสเซีย อาจอยู่เบื้องหลังการรั่วไหล ซึ่งถูกมองว่า เป็นหนึ่งในการละเมิดความมั่นคงที่ร้ายแรงที่สุด นับตั้งแต่เอกสาร วิดีโอ และข้อมูลทางการทูตมากกว่า 700,000 รายการ ปรากฏบนเว็บไซต์วิกิลีกส์ ในปี 2556
เอกสารลับสุดยอดของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่รั่วไหลทางออนไลน์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เปิดช่องให้เห็นว่า สหรัฐฯ สอดแนมพันธมิตรและศัตรูอย่างไร สร้างความเดือดดาลให้กับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่กลัวว่า การเปิดเผยดังกล่าวอาจเป็นอันตรายต่อแหล่งข่าวที่มีความอ่อนไหว และกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สำคัญ
เอกสารบางฉบับที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า เป็นของจริง เผยให้เห็นขอบเขตที่สหรัฐฯ สอดแนมชาติพันธมิตรสำคัญ ซึ่งรวมถึงเกาหลีใต้ อิสราเอล และยูเครน
คนอื่น ๆ เปิดเผยถึงระดับที่สหรัฐฯ เจาะเข้าไปในกระทรวงกลาโหมรัสเซียและองค์กรทหารรับจ้าง Wagner Group ของรัสเซีย โดยส่วนใหญ่ผ่านการดักฟังการสื่อสารและแหล่งที่มาของมนุษย์ ซึ่งตอนนี้อาจถูกตัดขาด หรือตกอยู่ในอันตราย
เอกสารยังเปิดเผยจุดอ่อนที่สำคัญของยูเครนในด้านยุทโธปกรณ์ การป้องกันภัยทางอากาศ ขนาด และความพร้อมของกองทหาร ณ จุดวิกฤติในสงคราม ขณะที่กองกำลังยูเครนเตรียมพร้อมที่จะเปิดฉากตอบโต้กับรัสเซีย เช่นเดียวกับที่สหรัฐฯ และยูเครน ได้เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน มากกว่าการแบ่งปันข่าวกรอง
แหล่งข่าวใกล้ชิดกับประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี กล่าวว่า ยูเครนได้เปลี่ยนแปลงแผนการทางทหารบางส่วน เนื่องจากการรั่วไหล ซาบรีนา ซิงห์ รองเลขาธิการเพนตากอน กล่าวว่า “กระทรวงกลาโหมยังคงตรวจสอบและประเมินความถูกต้องของเอกสารภาพถ่าย ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์โซเชียลมีเดีย และดูเหมือนว่า จะมีเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนและเป็นความลับ” ซิงห์ กล่าวในแถลงการณ์ว่า มีความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน โดยมุ่งเน้นไปที่การประเมินผลกระทบจากเอกสารที่มีภาพถ่าย ที่อาจมีต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ต่อพันธมิตร และพันธมิตรของเรา”
เจ้าหน้าที่กลาโหมกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ซึ่งประกอบด้วยผู้นำระดับสูงที่สุดของกระทรวงกลาโหม ที่ให้คำแนะนำแก่ประธานาธิบดี กำลังตรวจสอบรายชื่อการแจกจ่าย เพื่อดูว่าใครได้รับรายงานเหล่านี้บ้าง เอกสารหลายฉบับมีเครื่องหมายระบุว่า ผลิตโดยหน่วยข่าวกรองของเสนาธิการร่วม หรือที่รู้จักกันในชื่อ J2 และดูเหมือนจะเป็นเอกสารสรุป
นักการทูตผิดหวัง
เอกสารดังกล่าวปรากฏทางออนไลน์เมื่อเดือนที่แล้ว บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย “ดิสคอร์ด” (Discord) โพสต์ดังกล่าวคือภาพถ่ายของเอกสารยับยู่ยี่ ซึ่งวางอยู่บนนิตยสารและรายล้อมไปด้วยสิ่งของอื่นๆ เช่น ถุงซิปปิดและขวดกาว ราวกับว่า มันถูกพับเก็บอย่างเร่งรีบและยัดใส่กระเป๋า ก่อนที่จะถูกนำออกจากสถานที่ที่ปลอดภัย
โฆษกของ Discord ยืนยันในแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ว่า พวกเขากำลังร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในการสืบสวน
แม้ว่าการสอดแนมจะเป็นส่วนหนึ่งของวิธีที่ชุมชนหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เก็บรวบรวมข้อมูลทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักการทูตจากบางประเทศที่มีชื่อในเอกสารลับ กล่าวว่า เรื่องนี้สร้างความไม่สบายใจ และอาจเป็นอันตรายต่อชื่อเสียงของสหรัฐฯ
ชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ กำลังทำการประเมินความเสียหาย ค้นหาว่าแหล่งที่มาของข้อมูล และวิธีการของตนได้รับความเสียหายจากการรั่วไหลหรือไม่
เจ้าหน้าที่ยังชี้ให้เห็นถึงความตื่นตระหนก หลังจากได้เห็นเอกสารฉบับหนึ่งจากเดือนกุมภาพันธ์ ที่มีชื่อว่า “รัสเซีย-ยูเครน: การต่อสู้เพื่อภูมิภาคดอนบาส มีแนวโน้มว่าจะถึงทางตันตลอดปี 2023” เอกสารระบุถึงความท้าทายในการประเมิน “ความอดทนของปฏิบัติการของยูเครน”
เจ้าหน้าที่กล่าวว่า “เป้าหมายของยูเครนจะยากที่จะบรรลุผลสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร หากการประเมินของสหรัฐฯ ซึ่งชี้ว่า มันเต็มไปด้วยทางตัน มีแนวโน้มจะเปิดเผยต่อสาธารณะ”
สอดแนมมิตร
จากการตรวจสอบเอกสารที่รั่วไหลออกมา 53 ฉบับ ซึ่งทั้งหมดดูเหมือนจะถูกจัดทำขึ้น ระหว่างกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม เอกสารฉบับหนึ่งเปิดเผยว่า สหรัฐฯ ได้สอดแนม นายเซเลนสกี แต่แหล่งข่าวใกล้ชิดกับผู้นำยูเครนกล่าวว่า นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่เจ้าหน้าที่ยูเครนรู้สึกผิดหวังอย่างมาก เกี่ยวกับการรั่วไหล
รายงานข่าวกรองของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นข่าวกรองทางสัญญาณ ระบุว่า เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ นายเซเลนสกี “เสนอให้โจมตีที่ตั้งประจำการของรัสเซียในภูมิภาครอสทอฟ” โดยใช้อากาศยานไร้คนขับ เนื่องจากยูเครนไม่มีอาวุธโจมตีระยะไกล
ข่าวกรองทางสัญญาณยังรวมถึงการดักฟังข้อมูล และถูกกำหนดอย่างกว้างๆ โดยสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ว่าเป็น “ข่าวกรองที่ได้มาจากสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์และระบบที่ใช้โดยเป้าหมายต่างประเทศ เช่น ระบบสื่อสาร เรดาร์ และระบบอาวุธ”
หน่วยข่าวกรองอาจชี้แจงต่อความคิดเห็นสาธารณะในสหรัฐฯ เกี่ยวกับการไม่ต้องการมอบระบบขีปนาวุธพิสัยไกลแก่ยูเครน เนื่องจากกลัวว่า ยูเครนจะใช้มันเพื่อโจมตีรัสเซีย แต่ยูเครนให้คำมั่นว่า จะไม่ใช้อาวุธที่สหรัฐฯ จัดหาให้ทำเช่นนั้น
รายงานข่าวกรองอีกฉบับหนึ่งระบุว่า จีนยังอาจใช้การโจมตีของยูเครนต่อเป้าหมายที่อยู่ลึกเข้าไปในรัสเซีย “เพื่อทำให้นาโตเป็นผู้รุกราน และอาจเพิ่มความช่วยเหลือแก่รัสเซีย หากเห็นว่าการโจมตีมีความสำคัญ”
นายมิไคโล โพโดลยัค ที่ปรึกษาหัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดียูเครน กล่าวในบัญชีเทเลแกรมของเขาเมื่อวันศุกร์ว่า เขาเชื่อว่าเอกสารที่เผยแพร่นั้น ไม่น่าเชื่อถือ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการที่แท้จริงของยูเครน และอ้างอิงจากข้อมูลสมมติจำนวนมากที่เผยแพร่โดยรัสเซีย
เอกสารอีกฉบับหนึ่ง อธิบายรายละเอียดการสนทนาระหว่างเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้สองคน เกี่ยวกับข้อกังวลของสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับคำขอของสหรัฐฯ สำหรับเครื่องกระสุน
เจ้าหน้าที่กังวลว่า การจัดหากระสุน ซึ่งสหรัฐฯ จะส่งไปยังยูเครนนั้น จะเป็นการละเมิดนโยบายของเกาหลีใต้ ที่จะไม่ให้ความช่วยเหลือร้ายแรงแก่ประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม ตามข้อมูลในเอกสาร เจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้แนะนำวิธีการเลี่ยงนโยบายดังกล่าว โดยไม่ต้องแก้ไขจริง ด้วยการขายเครื่องกระสุนให้กับโปแลนด์
เอกสารดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งในเกาหลีใต้ โดยเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้บอกกับนักข่าวว่า พวกเขาวางแผนที่จะยกประเด็นนี้ขึ้นหารือกับสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่จากประเทศอื่น ๆ วางแผนที่จะยกเรื่องนี้ขึ้นหารือกับสหรัฐฯ เช่นกัน พวกเขารอดูว่า ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะมีความเห็นอย่างไร เกี่ยวกับเอกสารที่รั่วไหลออกมา ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
นอกจากนั้น รายงานข่าวกรองเกี่ยวกับอิสราเอล ได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจ โดยรายงานที่จัดทำโดยสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือ ซีไอเอ และจัดทำขึ้นเพื่อส่งสัญญาณข่าวกรอง ระบุว่า “มอสซาด” หน่วยข่าวกรองหลักของอิสราเอล ได้สนับสนุนการประท้วงต่อต้านรัฐบาล “รวมถึงการเรียกร้องให้ดำเนินการอย่างโจ่งแจ้งหลายครั้ง”
แถลงการณ์ระบุว่า “มอสซาดและเจ้าหน้าที่ระดับสูง ไม่ได้และไม่สนับสนุนให้บุคลากรของหน่วยงาน เข้าร่วมการเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล การเดินขบวนทางการเมือง หรือกิจกรรมทางการเมืองใดๆ มอสซาดและเจ้าหน้าที่อาวุโส ไม่ได้มีส่วนร่วมในประเด็นการประท้วง และอุทิศตนเพื่อคุณค่าของการบริการแก่รัฐ ที่ชี้แนะแนวทางของมอสซาด นับตั้งแต่การก่อตั้ง”
เอกสารลับอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อส่งสัญญาณข่าวกรอง เสนอว่า สหรัฐฯ ประเมินนโยบายของพันธมิตรอย่างไร และสหรัฐฯ จะใช้อิทธิพลเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายเหล่านี้ได้อย่างไร
เอกสารดังกล่าวมีชื่อว่า “อิสราเอล: เส้นทางสู่การให้ความช่วยเหลือด้านยุทโธปกรณ์แก่ยูเครน” โดยอิสราเอลกล่าวว่า “มีแนวโน้มที่จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือดังกล่าว ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ หรือการลดระดับความสัมพันธ์กับรัสเซีย
เอกสารอีกฉบับเผยให้เห็นว่า สหรัฐฯ คิดเห็นอย่างไร เกี่ยวกับความตั้งใจของบางประเทศในยุโรป ที่จะบริจาคเครื่องบินขับไล่ให้ยูเครน ซึ่งร้องขอเครื่องบินดังกล่าวมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ รายงานระบุว่า บัลแกเรียแสดงความเต็มใจที่จะบริจาคฝูงบิน MiG-29 ให้กับยูเครน โดยรายงานดังกล่าวประเมินว่า เป็น “ความท้าทาย” เพราะจะทำให้บัลแกเรียไม่มีเครื่องบินขับไล่ เพื่อปฏิบัติภารกิจตรวจน่านฟ้า จนกว่าเครื่องบินเอฟ-16 ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ จะถูกส่งมอบในอีกอย่างน้อยหนึ่งปีฃ
สอดแนมศัตรู
การรั่วไหลครั้งใหญ่ ยังเผยให้เห็นว่า การแทรกซึมของสหรัฐฯ ในกระทรวงกลาโหมของรัสเซีย และองค์กรทหารรับจ้าง หรือ “แวกเนอร์” (Wagner) นั้น ลึกล้ำกว่าที่เคยเข้าใจ ข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับรัสเซีย ถูกรวบรวมผ่านการดักฟังข้อมูล ทำให้เกิดความกังวลว่า รัสเซียอาจเปลี่ยนวิธีการสื่อสาร เพื่อปกปิดแผนการของตนให้ดีขึ้น
แหล่งที่มาของกำลังพลอาจมีความเสี่ยงเช่นกัน แผนที่การเคลื่อนไหวและขีดความสามารถของกองทหารรัสเซีย ที่รวมอยู่ในเอกสารดังกล่าว มาจากแหล่งข้อมูลลับที่เป็นมนุษย์ ทำให้เกิดความวิตกในหมู่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ว่า แหล่งข่าวดังกล่าวอาจตกอยู่ในอันตราย
เอกสารดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ สามารถสกัดกั้นแผนการกำหนดเป้าหมายของรัสเซียว่า โรงไฟฟ้าพลังความร้อน สถานีไฟฟ้าย่อย ทางรถไฟ และสะพานแห่งใดบ้าง ที่กองกำลังรัสเซียวางแผนที่จะโจมตีภายในยูเครนและเมื่อใด
สหรัฐฯ ยังสามารถสกัดกั้นกลยุทธ์ของรัสเซีย ในการต่อสู้กับรถถังของนาโต ที่จะเข้าสู่ยูเครนตั้งแต่เดือนเมษายน โดยแผนดังกล่าว “เรียกร้องให้จัดตั้งเขตการยิง 3 แห่งตามพิสัย ได้แก่ระยะ ไกล กลาง และสั้น โดยแต่ละโซนครอบคลุมอาวุธและประเภทหน่วยเฉพาะ”
เอกสารยังเน้นย้ำถึงความกังวลของสหรัฐฯ เกี่ยวกับกลุ่มแวกเนอร์ ซึ่งมีบุคลากรหลายพันคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในยูเครน เอกสารดังกล่าวกล่าวถึงการสรรหานักโทษรัสเซียของแวกเนอร์ เพื่อสู้รบในยูเครน โดยเน้นย้ำถึงอิทธิพลของผู้นำกลุ่มที่มีอย่างต่อเนื่องกับประธานาธิบดี ปูติน รวมถึงแผนการของกลุ่มที่จะรุกคืบเข้าไปในแอฟริกาและเฮติ
เอกสารดังกล่าวยังเปิดช่องให้เห็นตัวเลขผู้เสียชีวิตจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยากจะประเมินได้อย่างแม่นยำ และเป็นที่ทราบกันดีว่า สหรัฐฯ ไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณะ
ตามเอกสารฉบับหนึ่ง กองกำลังรัสเซียมีผู้เสียชีวิตระหว่าง 189,500 ถึง 223,000 ราย ณ เดือนกุมภาพันธ์ รวมทั้งทหารมากถึง 43,000 นาย ที่เสียชีวิตในการปฏิบัติการ ในขณะเดียวกัน ฝ่ายยูเครนมีผู้เสียชีวิต 124,500 ถึง 131,000 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติการมากถึง 17,500 ราย
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ผู้ไม่หวังดีกำลังใช้เอกสารที่รั่วไหล เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ตัวอย่างเช่น เอกสารที่มีตัวเลขผู้เสียชีวิต ถูกแก้ไขในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้จำนวนผู้เสียชีวิตในรัสเซียลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง ก่อนที่จะเผยแพร่ผ่านแอปฯ เทเลแกรมของรัสเซีย
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับภาพที่เผยแพร่บนทวิตเตอร์และเทเลแกรม นายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย กล่าวว่า “เราไม่มีข้อสงสัยแม้แต่น้อย เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมโดยตรง หรือโดยอ้อมของสหรัฐฯ และนาโต ในความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน”
เขากล่าวว่า “ระดับการมีส่วนร่วมนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เราจับตาดูกระบวนการนี้ แน่นอนว่า มันทำให้เรื่องราวทั้งหมดซับซ้อนขึ้น แต่ก็ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์สุดท้ายของปฏิบัติการพิเศษได้”.
————————————————————————————————————————————————————————————————-
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 11 เม.ย.66
Link : https://www.thairath.co.th/news/foreign/2676803