กลุ่ม ส.ส.ญี่ปุ่นจากพรรคแอลดีพี เตรียมเสนอให้รัฐบาลสั่งแบนแอปพลิเคชันยอดนิยมหลายแพลตฟอร์ม ซึ่งรวมทั้ง ‘ติ๊กต็อก’ ด้วย หากพบว่ามีการใช้งานในแง่ลบ
27 มี.ค. 2566 กลุ่ม ส.ส.พรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ของญี่ปุ่น วางแผนรวบรวมข้อเสนอเพื่อยื่นต่อรัฐบาลในเดือนหน้า ให้มีมาตรการสั่งแบนแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์กหลายแพลตฟอร์ม ถ้าหากพบว่ามีการนำไปใช้เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีแอปพลิเคชันยอดนิยมที่กำลังตกเป็นเป้าหมายของการสั่งแบนในสหรัฐอย่าง ‘ติ๊กต็อก’ รวมอยู่ด้วย
ส.ส.ของสหรัฐเ รียกร้องรัฐบาลของประธานาธิบดีพิจารณาสั่งห้ามการใช้แอปพลิเคชันติ๊กต็อกที่มีต้นตอมาจากประเทศจีน โดยกล่าวหาว่ามีการใช้แอปพลิเคชันดังกล่าวเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ใช้ รวมถึงเซ็นเซอร์เนื้อหาและเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตของเยาวชน
โนริฮิโระ นากายามะ ส.ส.พรรคแอลดีพี กล่าวว่า ถ้าหากมีการพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้งานแอปพลิเคชันใด ๆ โดยเจตนา เพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง เพื่อเผยแพร่อิทธิพลในทางประสงค์ร้าย ก็ควรพิจารณาสั่งให้เลิกใช้แอปพลิเคชันนั้นๆ
นากายามะ กล่าวว่า หากมีความชัดเจนว่าแอปพลิเคชันจะโดนสั่งปิดได้ ถ้าทำผิดกฎเกณฑ์ ก็จะช่วยให้บริษัทผู้พัฒนาและเป็นเจ้าของแอปพลิเคชันคอยตรวจสอบการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น แอปติ๊กต็อก ซึ่งมีผู้ใช้งานชาวญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากถึง 17 ล้านคน ก็จะเข้าถึงแอปไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยป้องกันความปลอดภัยของผู้ใช้งานได้
นากายามะ กล่าวว่าควรมีการพิจารณาจำกัดการใช้งานแอป เพิ่มเติม หลังจากที่ได้ตรวจสอบการจัดการข้อมูลและการดำเนินการอื่น ๆ ของบริษัทผู้เป็นเจ้าของ
อย่างไรก็ตาม นากายามะ กล่าวว่ากลุ่ม ส.ส.แอลดีพีที่เตรียมเสนอแผนนี้กำลังมองหาวิถีทางที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยเชิงเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และกล่าวว่าข้อเสนอนี้ไม่ได้พุ่งเป้าหมายไปยังแพลตฟอร์มใดเป็นพิเศษ
กระแสทางการแบนแอปติ๊กต็อกในโลกตะวันตกเริ่มขึ้นเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากสหรัฐแล้ว ยังมีอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และนิวซีแลนด์ ที่กำลังพิจารณาการใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าว
ในประเทศญี่ปุ่นนั้น มีการสั่งห้ามใช้งานติ๊กต็อกและแอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่น ๆ ในเครื่องมือหรืออุปกรณ์ของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลลับเฉพาะที่ไม่อาจเปิดเผยได้
————————————————————————————————————————-
ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 28 มีนาคม 2566
Link : https://www.dailynews.co.th/news/2150746/