ในไทยอาจยังไม่มี แต่บริษัทในสหรัฐกว่า 70% จะเริ่มใช้ “Bossware” ซอฟต์แวร์สอดแนมการ “นินทา” บนแอปฯ ประชุมทางไกล/กรุ๊ปแชทคุยงานทางไกล (Hybrid Work Gossip) ของลูกจ้าง ตามแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ในอีก 2 ปีข้างหน้า
Key Points:
– รู้ว่าไม่ดี แต่ก็หยุดไม่ได้ เมื่อ “การนินทา” เป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว และมักเกิดขึ้นเพื่อทำลายความจำเจของกิจวัตรประจำวัน หรือเพื่อเติมชีวิตชีวาให้แก่วงสนทนา
– แต่ในยุคนี้ที่มีสื่อสังคมโซเชียลเชื่อมต่อผู้คนได้แบบไร้พรมแดน ยิ่งทำให้การนินทาว่าร้ายบนโลกออนไลน์เกิดขึ้นได้ง่าย และแพร่กระจายได้รวดเร็วหลายพันเท่า โดยเฉพาะหากการนินทานั้นพาดพิงถึงบริษัทจนเกิดความเสียหาย
– ด้วยความกังวลดังกล่าว ทำให้หลายบริษัทในสหรัฐอเมริกา หาวิธีการสอดแนมและตรวจสอบการนินทาบนโลกออนไลน์ของลูกจ้าง ผ่านซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า “Bossware”
หลายคนรู้อยู่แก่ใจว่าการ “นินทา” คนอื่นมันไม่ดี แต่ถามว่ามนุษย์ออฟฟิศหยุดนินทาได้ไหม? เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ตอบเสียงดังฟังชัดว่า “หยุดไม่ได้จริงๆ” ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในทางจิตวิทยามีคำอธิบายว่า การนินทาอยู่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด
ทำไมคนเราถึงชอบนินทา จนต่อยอดไปถึงขั้น “นินทาออนไลน์”
ดร.แจ็ค เชฟเฟอร์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายที่ Western Illinois University สหรัฐอเมริกา และเป็นอดีตนักวิเคราะห์พฤติกรรมของสายลับพิเศษ FBI ให้ข้อมูลผ่าน Psychology Today ไว้ว่า การนินทาเกิดขึ้นได้ง่ายเเละเป็นธรรมชาติมาก ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว และมักเกิดขึ้นเพื่อทำลายความจำเจของกิจวัตรประจำวัน หรือเพื่อเติมชีวิตชีวาให้แก่การสนทนา ทั้งยังทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับข้อมูลลับๆ เกี่ยวกับบุคคลอื่น จึงรู้สึกได้ถึงการมีอำนาจ
ขณะที่ ดร.ซูซาน เคราส์ วิทบอร์น ศาสตราจารย์กิตติคุณด้านจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์สมอง จาก University of Massachusetts Amherst สหรัฐอเมริกา ระบุว่า พฤติกรรมการนินทาของมนุษยชาติถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นมาถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคนี้ที่มีสื่อสังคมโซเชียลเชื่อมต่อผู้คนได้แบบไร้พรมแดน ยิ่งทำให้การนินทาว่าร้ายเกิดขึ้นได้ง่าย และแพร่กระจายในวงกว้างได้รวดเร็วหลายร้อยหลายพันเท่า
สำหรับยุคสมัยนี้ “โซเชียลมีเดีย” กลายเป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้ในการนินทาผู้อื่นมากที่สุด เนื่องจากผู้คนใช้ช่องทางออนไลน์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย สะดวกสบาย แถมยังโพสต์ข้อความโดยไม่ระบุตัวตนก็ได้ ยิ่งทำให้การนินทาบนสื่อสังคมออนไลน์มีแนวโน้มที่จะเป็นอันตรายมากขึ้น
นินทาออนไลน์ เกิดขึ้นเพราะการทำงานทางไกล (Remote work+WFH)
ยิ่งทุกวันนี้บริษัทส่วนใหญ่อนุญาตให้พนักงานออฟฟิศทำงานทางไกลหรือทำงานแบบไฮบริดได้ (ไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน) ทำให้เกิดการนินทาบริษัท เจ้านาย หรือเพื่อนร่วมงาน แพร่ไปในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้ประชุมหรือคุยงานทางไกล ได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยมีการนิยามพฤติกรรมนี้ไว้ว่า “Hybrid Work Gossip” ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ขององค์กร
เอเลนา มาร์ติเนสคู นักวิจัยจาก Vrije Universiteit Amsterdam ชี้ว่า แม้จะไม่ใช่การนินทาบริษัท แต่พนักงานออฟฟิศก็ยังรู้สึกว่าจำเป็นต้องรับรู้ข้อมูลของกันและกัน ยุคนี้จึงเกิดการนินทาผ่านกรุ๊ปคุยงานออนไลน์มากขึ้น จากการสำรวจพบว่า โอกาสในการนินทามักจะอยู่ใน Zoom และ Slack ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการคุยงาน และการประชุมออนไลน์ ที่พนักงานออฟฟิศทั่วโลกใช้เพื่อพูดคุยแบ่งปันความคิด การสังเกต และแสวงหาข้อมูลของคนอื่น
รู้จัก “Bossware” ซอฟต์แวร์สอดเนมลูกจ้างบนโลกออนไลน์
ด้วยความกังวลดังกล่าวทำให้หลายๆ บริษัทในสหรัฐอเมริกา มองหาวิธีการสอดแนมและตรวจสอบการ “นินทาออนไลน์” ของลูกจ้างผ่านซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า “Bossware” ซึ่งเป็นชื่อเรียกรวมๆ ของ เครื่องมือที่เอามาติดตั้งเพื่อสอดแนมการสนทนาของพนักงานออฟฟิศผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ
โดยประเภทของการสอดแนมที่พบได้บ่อยที่สุดคือ “การตรวจสอบกิจกรรม” ที่พนักงานมีการกดเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ อาจรวมถึงผู้ที่ส่งอีเมล ข้อความ ข้อมูลเมตาอื่นๆ และโพสต์ใดๆ ที่พวกเขาทำบนโซเชียลมีเดีย ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ บอสแวร์ส่วนใหญ่สามารถบันทึกการป้อนข้อมูลจากแป้นพิมพ์ จากเมาส์ และจับภาพหน้าจอได้ด้วย ยกตัวอย่างเครื่องมือเหล่านั้น ได้แก่ ActivTrak, CleverControl, DeskTime, Hubstaff, StaffCop, Interguard, Teramind ฯลฯ
ล่าสุดมีรายงานจากสำนักข่าว BBC ระบุว่า นายจ้างจำนวนมากต้องการตรวจสอบการทำงานรวมกึงการพูดคุยของพนักงาน ผ่านซอฟต์แวร์เฉพาะทางเหล่านี้ อ้างอิงจากข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษา Gartner ชี้ว่า 70% ของนายจ้างรายใหญ่ในสหรัฐ จะใช้เครื่องมือบอสแวร์เพื่อสอดแนมภายใน 2 ปีข้างหน้า
อย่าประมาท! การนินทาออนไลน์มี Digital Footprint แกะรอยได้ง่าย
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นภาพชัดเจนว่า การนินทาที่ทำงาน (นินทาออนไลน์) ไม่เพียงแต่ซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงแก่พนักงานออฟฟิศมากขึ้นอีกด้วย “เมื่อเปรียบเทียบกับการนินทาแบบเห็นหน้ากัน เราจะเห็นสีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง ซึ่งจะสื่อสารได้ชัดเจนมากกว่า แต่การนินทาออนไลน์บางครั้งอาจเกิดการตีความผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดง่ายกว่า และแพร่ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วกว่า
อย่างไรก็ตาม ลูกจ้างที่นินทาบริษัทผ่านโลกออนไลน์ อาจจะไม่ตกงานเพราะพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับนายจ้าง แต่ประวัติข้อความการนินทาของลูกจ้างรายนั้น จะกลายเป็น Digital Footprint ที่ยังคงอยู่เสมอ และอาจส่งผลเสียต่อเขาได้ในอนาคต ยิ่งหากพบว่าการนินทานั้นเป็นการดูหมิ่น และละเมิดบริษัทอย่างร้ายแรงก็อาจได้รับโทษตามกฎหมายด้วย
ดังนั้น แม้วัยทำงานจะเลิกนินทาไม่ได้ เพราะบางครั้งชีวิตต้องเจอกับเจ้านายที่น่ารำคาญ, เพื่อนร่วมงาน Toxic, ความผิดหวัง, โกรธ หรือวิตกกังวลกับการทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การนินทาจึงเป็นเหมือนวิธีคลายเครียดอย่างหนึ่งของชาวออฟฟิศ แต่ก็ควรระมัดระวังคำพูดไม่ให้พาดพิงผู้อื่นหรือพาดพิงบริษัทจนเกิดความเสียหาย และทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการนินทาบนโลกออนไลน์จะดีที่สุด
อ้างอิง : BBC/worklife, Gartner Employee Productivity, Eff.org, Psychologytoday1, Psychologytoday2
——————————————————————————————————————————————
ที่มา : bangkokbiz / วันที่เผยแพร่ 1 มิ.ย. 2566
Link : https://www.bangkokbiznews.com/world/1071467