สงครามรัสเซียยูเครนยังคงดุเดือดโดยเฉพาะในภูมิภาคดอนบาส ตอนนี้ยูเครนเตือนว่ารัสเซียอาจใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นอาวุธในการทำสงคราม
เมื่อวานนี้ขณะที่แถลงรายงานสถานการณ์ประจำวัน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนได้ระบุว่า หน่วยข่าวกรองของยูเครนตรวจพบว่ารัสเซียได้วางวัตถุคล้ายระเบิดบนหลังคาของอาคารเตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 และ 4 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซีย ในเมืองเอเนอร์กอดาร์ ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครน
โดยประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนย้ำชัดเจนว่า ความปลอดภัยของโลกขึ้นอยู่กับการโต้ตอบของประเทศต่างๆ ต่อการกระทำของรัสเซีย โดยต้องทำให้รัสเซียตระหนักว่าโลกพร้อมที่จะตอบโต้กับการก่อการร้ายที่รัสเซียทำ
นอกจากนี้ ผู้นำยูเครนกล่าวเสริมว่า สารกัมมันตภาพรังสีจะคุกคามทุกคนบนโลกโดยไม่เลือกปฏิบัติ และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สมควรได้รับการปกป้องจากอุบัติเหตุทางรังสีทุกรูปแบบ
รายงานดังกล่าวของหน่วยข่าวกรองยูเครนสอดคล้องกับข้อมูลของกลุ่มอาเตช กลุ่มขบวนการใต้ดินที่ต่อต้านรัสเซียในพื้นที่ต่างๆ ที่รัสเซียยึดครอง รายงานว่าพบเห็นรถเคลื่อนที่ของห้องปฏิบัติการทางรังสีรัสเซียวิ่งอยู่ในพื้นที่เมืองเอเนอร์กอดาร์และเมืองมาริอูปอล เมืองท่าติดทะเลอาซอฟ โดยรถดังกล่าวคาดว่าถูกส่งมาจากเมืองวอรอเนซ ทางตอนใต้ของรัสเซีย พร้อมระบุว่า รัสเซียอาจวางแผนยั่วยุในพื้นที่โรงไฟฟ้าหรืออีกกรณีคือรัสเซียอาจขนยายบางสิ่งออกจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไปยังท่าเรือเมืองมาริอูปอล
ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน สำนักข่าวสกายนิวส์เคยรายงายโดยอ้างอิงหน่วยข่าวกรองของยูเครนที่ให้ข้อมูลว่า บริษัทโรซาตัมของรัสเซียที่เข้ามาทำหน้าที่ดูแลโรงไฟฟ้าซาโปริซเซียหลังจากกองทัพรัสเซียยึดได้ ได้ออกคำสั่งขอให้บรรดาเจ้าหน้าที่โรงไฟฟ้าทยอยออกจากโรงไฟฟ้าแห่งนี้ก่อนคืนวันที่ 5 กรกฎาคมหรือวันนี้
ขณะเดียวกัน วันนี้สำนักข่าวหลายสำนักของรัสเซีย เช่น อินเตอร์แฟกซ์ ทาสส์ รายงานว่า รัฐบาลยูเครนวางแผนโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียในช่วงดึกวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น ด้านสำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ระบุว่า รีนัต คาร์ชา ผู้อำนวยนวยการบริษัทโรซาตัมได้พูดถึงเรื่องนี้ขณะที่ไปออกรายการโทรทัศน์ของช่องรัสเซีย 24 (VGTRK) โดยระบุว่ายูเครนวางแผนจะใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลและโดรนพลีชีพโจมตีโรงไฟฟ้าแห่งนี้
นักวิเคราะห์ทางการทหารและนักวิชาการด้านความมั่นคงจากชาติตะวันตกหลายรายระบุว่า ท่าทีดังกล่าวของรัสเซียถือเป็นสัญญาณที่อันตรายมากว่ารัสเซียอาจกำลังวางแผนระเบิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียในคืนนี้จริง และนี่จะกลายเป็นหายนะนิวเคลียร์ครั้งใหญ่ เหตุใดเรื่องนี้จึงสามารถสร้างหายนะใหญ่ได้
ทั้งนี้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียตั้งอยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำดนีเปอร์ ที่เมืองเอเนอร์กอดาร์ ในแคว้นซาโปริซเซีย ซึ่งจากแผนที่จะเห็นได้ว่าบริเวณนี้เป็นสีแดง เนื่องจากรัสเซียยึดพื้นที่นี้ได้ตั้งแต่ปฏิบัติการเฟสแรกในเดือนมีนาคม ปี 2022 ที่นี่เป็นโรงฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและเป็น 1 ใน 10 โรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ในโรงไฟฟ้าแห่งนี้มีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำความดันสูง 6 เครื่อง และหอหล่อเย็น 2 หอ ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 38,000 กิกะวัตต์ต่อปี ผู้เชี่ยวชาญเคยประเมินว่า หากโรงไฟฟ้าแห่งนี้ถูกโจมตีจนได้รับความเสียหายอย่างหนักและเตาปฏิกรณ์หลอมละลาย ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะมากกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้าที่เชอร์โนบิลเมื่อปี 1986 และโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะเมื่อปี 2011 จนอาจเรียกได้ว่าเป็นจุดจบของยุโรป (The end of Europe)
สาเหตุที่หลายฝ่ายระบุเช่นนี้เป็นเพราะว่า ถ้าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรประเบิด จะปล่อยสารกัมมันตภาพรังสีที่ทำให้พื้นที่กว่า 30,000 ตารางกิโลเมตรกลายเป็นเขตควบคุมพิเศษที่มีความเข้มข้นของสารกัมมันตภาพรังสีสูง พื้นที่ขนาด 30,000 ตารางกิโลเมตรสามารถเทียบเท่าได้กับพื้นที่ทั้งหมดทางภาคตะวันออกของประเทศไทย หลังจากสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลจะทำให้แคว้นซาโปริซเซียและแคว้นรอบข้างกลายเป็นพื้นที่อันตรายเช่นเดียวกับเมืองเชอร์โนบิล ไม่สามารถตั้งถิ่นฐานไปได้อีกอย่างน้อยหลายร้อยปี ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่จะเสียชีวิตภายในหนึ่งชั่วโมง
ขณะที่แม่น้ำดนีเปอร์ ทะเลอาซอฟ และทะเลดำ จะปนเปื้อนไปด้วยสารกัมมันตภาพรังสีและประชาชนที่ใช้น้ำจากแหล่งน้ำเหล่านี้จะได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ สารกัมมันตภาพรังสีอาจรั่วไหลและถูกพัดไปได้ไกลถึง 2 ล้านตารางกิโลเมตร ทำให้ประชากรในยุโรปหลายประเทศอาจได้รับผลกระทบจากกัมมันภาพตรังสีและป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง
โดย รังสีจะแพร่กระจายไปได้ไกลถึงประเทศโปแลนด์ รัฐบอลติก และเมฆปนเปื้อนรังสีอาจแพร่กระจายไปทั่วยุโรปรวมถึงรัสเซียด้วย อย่างไรก็ดี การกำหนดพื้นที่ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหลังจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียระเบิดจะขึ้นอยู่กับทิศทางและความแรงของลม รวมถึงสภาพอากาศในวันที่เกิดเหตุด้วย
แม้จะมีสัญญาณออกมาชัดเจนจากทั้งสองฝั่งว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอาจก่อหายนะจากการถูกทำลาย แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดออกมาแสดงท่าทีที่ชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นนี้ นี่ทำให้บรรดานักวิเคราะห์กังวลว่าถ้าโรงไฟฟ้าแห่งนี้ระเบิดจริงและชาติตะวันตกนิ่งเฉยเหมือนกับเหตุการณ์เขื่อนโนวา คาโคฟกาแตก อาจนำไปสู่การสิ้นสุดระเบียบโลกชุดปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางกลุ่มไม่เชื่อว่าชาติตะวันตกจะนิ่งเฉยกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับตัวแทนจากสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ที่ออกมาแสดงท่าทีชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา ลินด์เซย์ แกรแฮม วุฒิสมาชิกประจำวุฒิสภาของสหรัฐฯ จากพรรครีพับริกันและริชาร์ด บลูเมนธาล วุฒิสมาชิกประจำวุฒิสภาของสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ได้ออกมาร่วมกันเสนอมติตอบโต้รัสเซียที่ส่งมอบอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีแก่เบลารุส
ข้อมติดังกล่าวระบุชัดเจนว่า หากรัสเซียหรือตัวแทนของรัสเซียใช้นิวเคลียร์เป็นอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นการใช้หัวรบนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี หรือการวางระเบิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซีย จนเกิดสารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลกระจายไปยังดินแดนของชาติสมาชิกนาโต จะถือเป็นการคุกคามชาติสมาชิกนาโตโดยตรง ด้วยเหตุนี้ องค์การนาโตจะสามารถใช้หลักการป้องกันร่วมกันเพื่อโจมตีภัยคุกคาม หรือ collective defence ตามมาตรา 5 ของนาโตได้
ส่วนมาตรการการโต้กลับของชาติสมาชิกนาโตจะเป็นอย่างไรหากรัสเซียตัดสินใจใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียเป็นอาวุธตามที่ผู้นำยูเครนระบุไว้ หนึ่งในมาตรการที่นาโตอาจนำมาใช้ตอบโต้รัสเซียคือ การจมกองเรือรบทั้งหมดของรัสเซียในพื้นที่ทะเลดำ
พลเอกเดวิด เพเทรอัส อดีตทหารสหรัฐฯ และอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบิสเนสอินไซด์เดอร์ว่า ความเป็นไปได้หนึ่งที่นาโตจะใช้เพื่อตอบโต้รัสเซีย หากรัสเซียใช้อาวุธนิวเคลียร์ คือ นาโตจะทำลายกองกำลังรัสเซียทุกกองที่ตรวจจับได้ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังที่อยู่ในยูเครน รวมถึงกองเรือต่างๆ ที่อยู่ในทะเลอาซอฟ หรือทะเลดำ
ต้องติดตามสถานการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียอย่างใกล้ชิด เนื่องจากนี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของความขัดแย้งที่ดำเนินมายาวนานกว่า 17 เดือน และท่ามกลางความกังวลเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เมื่อวานนี้กองทัพรัสเซียได้โจมตียูเครนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อวานนี้ ผู้ว่าการแคว้นคาร์คีฟได้รายงานว่า รัสเซียยิงปืนใหญ่โจมตีพื้นที่เขตเปียร์โวไมสกี ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บแล้วอย่างน้อย 43 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีเด็กรวมอยู่ด้วยถึง 12 คน และมีเด็กทารก 2 คน โดยเป็นทารกวัยเพียง 10 เดือนและ 1 ขวบเท่านั้น โดยการโจมตีแคว้นคาร์คีฟในครั้งนี้มีขึ้นเพียง 1 วันหลังจากทางการยูเครนออกมารายงานว่า รัสเซียได้ประจำการทหารกว่า 180,000 นาย บริเวณแนวรบทางด้านตะวันออกของยูเครน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแคว้นคาร์คีฟ
โดยเมื่อวานนี้ หลังจากทางการยูเครนรายงานตัวเลขทหารออกมา ยังไม่มีฝ่ายใดสามารถยืนยันได้ว่ารัสเซียเพิ่มทหารจำนวนดังกล่าวจริง เพราะไม่สามารถตอบได้ว่ารัสเซียจะนำทหารจำนวนมากเช่นนี้มาจากที่ใด
อย่างไรก็ดี ดมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงและอดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่อาจบอกเป็นนัยว่า รัสเซียมีทหารเพียงพอสำหรับใช้ประจำการในแนวรบ ขณะเดียวกันที่กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน รัฐบาลได้จัดพิธีอำลาและฝังศพ วิคตอเรีย อเมลินา นักเขียนนวนิยายชื่อดังชาวยูเครน ที่เสียชีวิตในร้านอาหารที่กองทัพรัสเซียโจมตีในเมืองครามาทอร์สก์ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้คนหลั่งไหลมาร่วมพิธีอำลาครั้งสุดท้ายของเธอ เนื่องจากเธอคือหนึ่งในนักวิจัยคดีอาชญากรรมสงครามของรัสเซีย วิคตอเรียเป็นผู้คนพบบันทึกประจำวันของโวโลดิมีร์ วาคูเลนโก นักเขียนชาวยูเครนที่ถูกสังหารโดยกองทัพรัสเซีย ขณะที่เข้ายึดครองเมืองอีซุม เมืองที่รัสเซียสังหารและฝังศพหมู่ชาวยูเครน บันทึกดังกล่าวได้กลายเป็นหลักฐานหนึ่งในการเอาผิดรัสเซียในข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม
——————————————————————————————————————————————
ที่มา : PPTV Online / วันที่เผยแพร่ 5 ก.ค.66
Link : https://www.pptvhd36.com/news/A8/200341