โทรศัพท์อัจฉริยะ เป็นเครื่องใช้ที่มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของเราในปัจจุบัน ถึงขั้นขาดไม่ได้จนกลายเป็นเสมือนปัจจัยที่ 5 แล้ว
แต่รัฐบาลและโรงเรียนเนเธอร์แลนด์เพิ่งประกาศว่า ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปโรงเรียนจะห้ามนักเรียนใช้โทรศัพท์ในห้องเรียน ยกเว้นสำหรับผู้ที่มีความจำเป็นจำพวกด้านสุขภาพและในวิชาที่เกี่ยวกับการเพิ่มทักษะทางเทคโนโลยีดิจิทัล โรงเรียนแต่ละแห่งจะนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติตามแนวที่ตนเห็นว่าเหมาะสม
นโยบายใหม่นี้ยังไม่มีกฎหมายใช้บังคับ หลังจากเวลาผ่านไป 1 ปีจึงจะมีการประเมินว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปรวมทั้งการจะตรากฎหมายใหม่ออกมาบังคับใช้หรือไม่ด้วย เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศยุโรปล่าสุดที่ประกาศนโยบายแนวนี้หลังจากฟินแลนด์ทำล่วงหน้าไป 1 สัปดาห์ มีรายงานว่าอังกฤษและฝรั่งเศสกำลังพิจารณาว่าจะทำเช่นนั้นด้วยหรือไม่
ประเทศต่าง ๆ อ้างผลการวิจัยที่สรุปว่า การอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ได้ในเวลาเรียนขัดขวางกระบวนการเรียนรู้ เพราะมันทำลายสมาธิของนักเรียน ข้อสรุปนี้น่าจะเป็นที่ประจักษ์มานานก่อนการวิจัยแล้ว
โรงเรียนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา จึงห้ามนักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียน ตั้งแต่ครั้งโทรศัพท์จำพวกนี้เริ่มมีใช้อย่างแพร่หลาย ก่อนที่จะกลายมาเป็นโทรศัพท์อัจฉริยะ
รัฐบาลกลางอเมริกันไม่มีคำสั่ง หรือนโยบายจากส่วนกลางว่าโรงเรียนจะต้องทำอย่างไร เนื่องจากการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นงานของรัฐบาลท้องถิ่น
ในปัจจุบัน โรงเรียนอเมริกันใช้แนวปฏิบัติต่อการใช้โทรศัพท์ในโรงเรียนต่างกันโดยส่วนใหญ่ห้ามใช้ อย่างไรก็ตาม ความเข้มงวดของการห้ามมีความแตกต่างกัน เช่น ในย่านนอกกรุงวอชิงตันอันเป็นเมืองหลวง บางโรงเรียนเข้มงวดมากถึงกับยึดโทรศัพท์และกักตัวนักเรียนผู้ละเมิดข้อห้าม
แม้เด็กจะทำผิดครั้งแรกก็ตาม จนกว่าผู้ปกครองจะไปลงชื่อรับรู้ความผิดของเด็กและรับเด็กกลับบ้านด้วยตัวเอง ตัวอย่างนี้น่าจะชี้ว่า นักเรียนอเมริกันมิได้มีอิสระสารพัดที่จะทำอะไรก็ได้ดังชาวไทยมักเข้าใจกัน การบังคับใช้ข้อห้ามต่าง ๆ เขาทำกันอย่างเข้มงวด
สำหรับประเทศในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์และฟินแลนด์ การเพิ่งออกนโยบายห้ามใช้โทรศัพท์ดังกล่าว คงมองได้จากหลายแง่มุม
เช่น ประเทศเหล่านั้นมีการพัฒนาสูงอย่างแท้จริง กล่าวคือ ประชาชนโดยทั่วไปมีรายได้สูง สังคมมีสวัสดิการสูงพร้อมกับมีความเหลื่อมล้ำและความฉ้อฉลต่ำ ทำให้พวกเขามีความสุขอยู่ในระดับต้น ๆ เมื่อเทียบกับประเทศทั่วโลก
นอกจากนั้น การศึกษาเปรียบเทียบยังสรุปว่า ระบบการศึกษาของเขาทำให้เด็กเรียนด้วยความสุขและประสบความสำเร็จสูงในระดับต้น ๆ อีกด้วย สิ่งเหล่านี้น่าจะชี้บ่งว่าเด็ก ๆ มีครอบครัวที่อบอุ่นเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้เด็กมีวินัยสูงและตั้งใจเรียนอย่างจริงจังเมื่ออยู่ในโรงเรียน
สภาวะดังกล่าวทำให้ผู้ใหญ่นอนใจ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ในวงการศึกษา หรือว่าผู้ใหญ่ในการบริหารประเทศ จนกระทั่งผลการสังเกตและการวิจัยสรุปได้แบบไร้ข้อโต้แย้งว่า โทรศัพท์อัจฉริยะจะสร้างความเสียหายร้ายแรงมากกว่าผลดีที่ได้รับต่อไปอย่างมีนัยสำคัญ หากปล่อยให้เด็กใช้แบบไร้ขอบเขต
กระนั้นก็ตาม เขายังไม่กำหนดแน่นอนลงไปว่าจะทำอย่างไรแบบตายตัว หากจะทดลองทำตามที่เห็นว่าเหมาะสมกับสภาพสังคมของแต่ละท้องถิ่นและจะปรับเปลี่ยนตามการบ่งชี้ของข้อมูลต่อไป จากมุมมองนี้ การห้ามใช้โทรศัพท์ดังกล่าวจึงมิได้เกิดจากความคิดที่ล้าสมัย หากเกิดจากการมองปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบ
การห้ามใช้โทรศัพท์ในโรงเรียนของเนเธอร์แลนด์และฟินแลนด์ อาจมองต่อไปได้อีกหลายประเด็น เช่น
(1) เมื่อประเทศที่มีการพัฒนาสูงมากยังมีปัญหาน่าวิตก ประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีปัญหาพื้นฐานสูงอยู่แล้วจะต้องประสบปัญหาสาหัสกว่าถ้ายังไม่ตระหนัก หรือขาดนโยบายและกฎหมายพร้อมกับการบังคับใช้ที่เหมาะสม และ
(2) หากมองกว้างออกไปถึงการใช้เทคโนโลยี จะเห็นว่าในช่วงนี้มีความวิตกเกี่ยวกับความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดพร้อมกับการมีโทษมหันต์ของปัญญาประดิษฐ์
เรื่องนี้น่าจะย้ำเตือนเราอีกครั้งหนึ่งว่า เทคโนโลยีมีคำสาปแฝงมาด้วยเสมอรวมทั้งโทรศัพท์อัจฉริยะ ซึ่งเราดูจะคิดกันว่าเป็นปัจจัยที่ 5 ไปแล้ว เมื่อไรเราคิดว่าเราต้องใช้มันตลอดเวลาแบบขาดมิได้เช่นปัจจัยสี่ เมื่อนั้นคำสาปของมันจะก่อพิษร้ายจนสายเกินแก้เมื่อเรารู้ตัว.
—————————————————————————————————————————————————
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 14 ก.ค.66
Link : https://www.bangkokbiznews.com/world/1078452