KYC ย่อมาจากคำว่า Know Your Customer หรือแปลได้ว่า “การทำความรู้จักกับลูกค้า” ซึ่งหมายถึง กระบวนการพิสูจน์ตัวตนในการทําความรู้จักลูกค้า ที่สามารถระบุตัวตน และพิสูจน์ตัวตนได้อย่างถูกต้อง (Identification and Verification) เพื่อเป็นการยืนยันตัวตนของลูกค้า ป้องกันการทุจริตหรือปลอมแปลงข้อมูลในการทำธุรกรรมทางการเงิน
รวมถึงเป็นการป้องกันการฟอกเงิน การสร้างความปลอดภัยให้กับเจ้าของข้อมูล และเป็นการป้องกันการแอบอ้างตัวตน เช่น กรณีที่เราไปเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคาร แล้วต้องใช้บัตรประชาชนในการยืนยันตัวตน เป็นต้น โดย KYC ถือเป็นหลักเกณฑ์สำคัญส่วนหนึ่งของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ที่กำหนดให้หน่วยงานดังต่อไปนี้มีหน้าที่ต้องทํา KYC ให้กับลูกค้า เช่น ธนาคาร ผู้ให้บริการ e-Wallet และ e-Payment บริษัทซื้อขายหลักทรัพย์ ที่อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของ ก.ล.ต บริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัยต่าง ๆ เป็นต้น
ทำไมต้องทำ KYC หรือทำไมต้องยืนยันตัวตน?
การทำ KYC เป็นการช่วยป้องกันการทุจริต หรือปลอมแปลงข้อมูลในการทำธุรกรรมทางการเงิน ป้องกันการแอบอ้างตัวตน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการกระทำที่ผิดกฎหมายต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการคอรัปชัน หรือการฟอกเงิน นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในบริการให้กับลูกค้าและผู้ให้บริการมากขึ้น
การทำ KYC สามารถทำได้ 2 ช่องทาง
Face to Face: การไปแสดงตนที่ธนาคาร เพื่อให้ธนาคารตรวจสอบบัตรประชาชนกับหน้าลูกค้าเจ้าของบัตรประชาชน
Online/ Mobile: ทำผ่านช่องทางออนไลน์ที่เรียกว่า E-KYC
ถ้าไม่ทํา KYC จะมีผลอย่างไร?
ลูกค้าจะไม่สามารถใช้ หรือทำธุรกรรมได้ เนื่องจากเป็นขั้นตอนสำคัญในการยืนยันตัว เพื่อพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ และเป็นมาตรการป้องกันการทุจริตตามกฎหมาย
การยืนยันตัวตนที่เรียกว่า KYC (Know Your Customer) จึงเป็นกระบวนการเพื่อเป็นความปลอดภัย และป้องกันการความเสี่ยงการจากปลอมแปลงข้อมูลให้แก่ลูกค้า
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ KYC ได้ที่เว็บไซต์ : http://www.bot.or.th
ทั้งนี้ เราสามารถยืนยันตัวตนด้วยตนเองที่ทุกธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ สิ่งที่จะต้องนำติดตัวไปด้วยเพื่อทำเรื่องยืนยัน KYC คือ บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด
——————————————————————————————————————————————
ที่มา : Sanook / วันที่เผยแพร่ 24 ต.ค.66
Link : https://www.sanook.com/hitech/1590799/