“รองนายกฯสมศักดิ์” นั่งหัวโต๊ะ กพต. ตั้งคณะอนุกรรมการฯ ทบทวน “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ-พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ” ชงแก้มาตรา 21 หลังใช้ตั้งแต่ปี 53 มีผู้กลับใจผ่านการอบรมแค่ 7 ราย เงื่อนไขใหม่เข้ากระบวนการนานสุด 2 ปี ขยายถึงกลุ่มต้องสงสัย ด้าน รมช.มหาดไทย “ทรงศักดิ์ ทองศรี” เผย 18 ปีแก้ไฟใต้ 33 อำเภอได้ไม่ถึงครึ่ง ละลายงบลงพื้นที่ เปรียบซื้อเป็ดก็เดินชนกันตาย
วันพฤหัสบดีที่ 23 พ.ย.66 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ซึ่งเป็นคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 หรือ พ.ร.บ.ศอ.บต.
โดยมี นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ที่ทำเนียบรัฐบาล
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การประชุม กพต.มีเรื่องพิจารณาที่สำคัญคือ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบูรณาการและขับเคลื่อนงานด้านกฎหมายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังตนได้มีโอกาสปรึกษาหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหา จึงมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบูรณาการฯ เพื่อทบทวนการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และการใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ รวมถึงการคัดกรองกลุ่มเป้าหมายให้เข้าสู่กระบวนการตามมาตรา 21 ของ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะบังคับใช้กฎหมายที่มีลักษณะจำกัดสิทธิเท่าที่จำเป็น เพื่อให้นำไปสู่การสร้างสันติสุขในพื้นที่ รวมถึงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วย
“ในสภาผู้แทนราษฎร มักมีการอภิปรายถึงการบังคับใช้กฎหมาย 3 พี่น้อง ซึ่งผมได้เป็นประธานการพิจารณาการต่ออายุขยายเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด เพราะขณะนี้ต้องยอมรับว่าการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่ จึงทำให้เราต้องทำงานอย่างหนัก”
“ดังนั้นเราต้องช่วยกันพิจารณาว่า สิ่งใดที่ยังไม่สะดวก ก็ต้องมีการพิจารณาปรับแก้ เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ปัญหา และตรงตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั้งหมดในปี 2570 ซึ่งถ้านับระยะเวลาก็พอดีกับอายุรัฐบาลพอดี ทำให้เราจะเดินหน้าอย่างเดิมไม่ได้ ซึ่งต้องเร่งขับเคลื่อนงานอย่างเต็มที่”
@@ ชงแก้มาตรา 21 เพิ่มเวลาอบรม – ขยายถึงกลุ่มต้องสงสัย
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ มาตรา 21 ที่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหากลับตัวและร่วมมือกับภาครัฐ โดยให้เข้าอบรมแทนการดำเนินคดี เพื่อประโยชน์ต่อความมั่นคง แต่ที่ผ่านมายังไม่มีการนำมาใช้ หลายฝ่ายจึงเห็นสมควรให้มีการปรับแก้ไข เพราะพบปัญหาอุปสรรคจำนวนมาก
เช่น บุคคลที่จะเข้ากระบวนการต้องอยู่ในพื้นที่เท่านั้นถึงจะเข้าร่วมได้, ระยะเวลาอบรม 6 เดือนอาจไม่เพียงพอ, สิทธิทางคดีในชั้นศาลยังไม่ชัดเจน, ผู้เข้ารับการอบรมกลับใจ ไม่ยินยอมในภายหลัง รวมถึงตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ผ่านการอบรมเพียง 7 คนเท่านั้น ทำให้ กอ.รมน. ได้ยกร่างแก้ไข พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ มาตรา 21 เรียบร้อยแล้ว โดยจะเพิ่มระยะเวลาอบรมเป็น 6 เดือนถึง 2 ปี และจะขยายให้ครอบคลุมถึงบุคคลที่ยังไม่ตกเป็นผู้ต้องหาด้วย รวมถึงกำหนดหน่วยงานช่วยเหลือดูแลหลังการอบรมอย่างชัดเจน จึงขอฝากให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันพิจารณาการปรับแก้กฎหมายนี้ด้วย
@@ 18 ปีแก้ไฟใต้ 33 อำเภอได้ไม่ถึงครึ่ง
ด้าน นายทรงศักดิ์ กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับนายสมศักดิ์เรื่องที่ว่าจะแก้ปัญหาแบบเดิมไม่ได้ เพราะผ่านมาแล้ว 18 ปี แต่ยังไม่สามารถเดินหน้าได้ ทำให้เราต้องกลับมาทบทวนนโยบายต่าง ๆ ว่าสามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่
จากข้อมูลการแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ 33 อำเภอ (ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี 12 อำเภอ นราธิวาส 13 อำเภอ และยะลา 8 อำเภอ) พบว่าแก้ได้ไม่ถึง 50% รวมถึงมีบางพื้นที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไปแล้ว แต่ก็ต้องรอกลับมาประกาศใช้ เนื่องจากมีเหตุเพิ่มขึ้น
@@ เปรียบใช้งบดับไฟใต้ไปซื้อเป็ด เดินชนกันตาย
“ดังนั้นถ้ามีการเปรียบเทียบงบประมาณที่ใช้แก้ปัญหาภาคใต้ทั้งหมดไปซื้อเป็ด ก็จะพบว่าเป็ดเดินชนกันตายอย่างแน่นอน โดยเราต้องมาช่วยกับทบทวนแล้วว่า นโยบายที่ผ่านมาใช่หรือไม่ ถ้าใช่ต้องมีตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจน ซึ่งผมมองว่าข้อกฎหมายใดที่ยังพบปัญหา ก็ต้องนำมาปรับปรุงและทบทวนใหม่ เพื่อให้การขับเคลื่อนงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด”
@@ เห็นชอบยกระดับเมืองคู่แฝดชายแดนไทย – มาเลเซีย
ขณะที่ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. ได้เสนอกรอบแนวทางการขับเคลื่อนการบูรณาการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนฯ, กรอบแนวทางการยกระดับการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยกับรัฐติดชายแดน ไทย-มาเลเซีย สู่การเป็นเมืองคู่แฝด (Twin cities) และเห็นชอบหลักการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ กรณีรายที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน จำนวน 309 ราย โดยทางรองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน กพต.ได้ให้ความเห็นชอบกับกรอบแนวที่ทาง ศอ.บต.นำเสนอ
สำหรับกรอบแนวทางการยกระดับเมืองคู่แฝด (Twin cities) ไทย-มาเลเซีย วางแนวทางเพื่อความร่วมมือการพัฒนารัฐติดชายแดนไทย–มาเลเซีย ในทุกมิติ โดยเฉพาะการค้าขายการลงทุน การท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมฮาลาล รวมไปถึงการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เทคโนโลยี การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และอื่น ๆ
โดยตั้งเป้าให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้มีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ลดปัญหาและผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั้ง 2 ประเทศ อันประกอบไปด้วย 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้กับ 5 รัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย สู่การเป็นเมืองคู่แฝด (Twin cities) เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในระยะ 4 ปีตั้งแต่ปี พ.ศ 2567-2570
——————————————————————————————————————————————————–
ที่มา : สำนักข่าวอิศรา / วันที่เผยแพร่ 23 พ.ย.66
Link : https://www.isranews.org/article/south-news/south-slide/124061-dpmsbpacsouth.html