- ในปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ กำลังเข้ามามีบทบาทในหลากหลายแวดวง แถมยังมีการพัฒนาความสามารถของเอไอเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ความกังวลว่ามนุษย์อาจจะถูกเอไอเข้ามาแทนที่ได้อย่างสมบูรณ์ในไม่ช้า
- หนึ่งในอุตสาหกรรมที่กำลังถูกเอไอเบียดเข้ามาแทนที่คืออุตสาหกรรมบันเทิง โดยเฉพาะอาชีพนักเขียนบทที่เอไอสามารถวางโครงเรื่อง ตัวละคร และบทพูดได้ทั้งหมด โดยไม่ต้องใช้มนุษย์ จนนำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในฮอลลีวูด
- นี่คือบทเรียนสำคัญที่คนในแวดวงบอลลีวูดของอินเดียกำลังกังวล เพราะวงการบอลลีวูด หรือวงการภาพยนตร์อินเดียก็มีขนาดใหญ่ไม่แพ้กัน และยังมีลูกจ้างอยู่ในอุตสาหกรรมนี้หลายหมื่นชีวิต แม้ว่าตอนนี้เอไอจะยังไม่เข้ามามีบทบาทมากนักก็ตาม
ผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอินเดียกำลังเริ่มแสดงความกังวลต่อการเข้ามาของเอไอ หรือปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเข้ามาคุกคามอาชีพของพวกเขา และเริ่มมีความเห็นจากคนวงในว่า ควรจะต้องมีการพูดคุย หรือหาแนวทางเกี่ยวกับการใช้เอไอกันอย่างจริงจัง
เชการ์ กาปุระ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ เจ้าของรางวัลชนะเลิศหลายรางวัล ที่สร้างภาพยนตร์ชื่อดังมาแล้วหลายเรื่องระบุว่า เขาได้เริ่มทดลองใช้ปัญญาประดิษฐ์ คือโปรแกรม ChatGPT ในกระบวนการสร้างภาพยนตร์ของเขาบ้างแล้ว และมันก็ทำให้เขาต้องทึ่งในความสามารถของมัน เพราะเอไอ เข้าใจเรื่องราวของศีลธรรม ความขัดแย้งต่าง ๆ จนสามารถเขียนสคริปต์ออกมาให้เขาได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที โดยเชื่อมโยงเรื่องราวกับภาพยนตร์ภาคแรกได้เป็นอย่างดี
นายกาปุระ ระบุว่า ในอนาคต เอไอ จะเข้ามาสร้างความโกลาหลให้แก่วงการอย่างแน่นอน เพราะมันสามารถเรียนรู้ได้เร็ว และใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการทำงาน ต่างจากคนเขียนบทที่ต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์
จากข้อมูลการสำรวจของ บริษัท ดีลอยท์ ในปี 2019 พบว่า ประเทศอินเดียเป็นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากปริมาณการผลิตภาพยนตร์ต่อปี โดยมีการจ้างงานมากถึง 850,000 ตำแหน่ง
ในขณะที่เครื่องมือ AI ฉลาดขึ้น และอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยวิดีโอ deepfake ของดาราอินเดียเต็มไปหมด จึงเกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้งานเอไอ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และจริยธรรมไปพร้อม ๆ กัน
เห็นได้ชัดเจนจากเคสตัวอย่างที่เกิดขึ้นในฮอลลีวูดของสหรัฐฯ จากการนำเอไอไปใช้ทั้งในการผลิตรายการโทรทัศน์ และภาพยนตร์ จนสามารถแทนที่ตำแหน่งต่าง ๆ ในกระบวนการผลิตได้ จนนำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ของนักแสดง และคนเขียนบทในปีนี้ และทำให้วงการฮอลลีวูดต้องหยุดชะงักนานหลายเดือน
ด้านนายสิทธิธา รอย กาปุระ อดีตประธานของ โปรดิวเซอร์ กิลด์ แห่งอินเดีย (Producers Guild of India) ระบุว่า ยังไม่เคยมีการพูดคุยในเรื่องการใช้เอไอในอินเดียอย่างจริงจังสักที แต่เขาคิดว่าตอนนี้ควรถึงเวลาแล้ว เพราะเอไอฉลาดขึ้นในทุก ๆ วินาที โดยการใช้เอไอมาช่วยในเวลานี้ก็จะแตกต่างจากในอีก 3 ถึง 6 เดือนข้างหน้า ที่จะยิ่งพัฒนาศักยภาพดีขึ้นไปอีก
สถานการณ์ในอินเดียในเวลานี้
หนึ่งในสตูดิโอ วิชวล เอฟเฟกต์ ที่ก่อตั้งโดยดาราบอลลีวูดชื่อดัง ชา รุค ข่าน เมื่อ 20 ปีก่อน ระบุว่า ตอนนี้เอไอยังไม่ได้ถึงขั้นกดปุ่มพร้อมใช้งานได้ทันที โดยจากการทดลองใช้เอไอ มันจะช่วยสร้างไอเดียในการทำเอฟเฟกต์ได้ แต่ก็ยังไม่สามารถนำมาใช้ทดแทนภาพเคลื่อนไหวความละเอียด 4K ได้ทั้งหมด
แต่ กูฮาน เชนเนียพพาน ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดี Tamil movie Weapon ที่เกี่ยวกับเทพนิยายเหนือมนุษย์ เห็นต่างออกไป โดยเขากำลังใช้เอไอมาผลิตในฉากภาพยนตร์ความยาวราว 2 นาทีครึ่ง แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวในแบบที่แตกต่างออกไป เพื่อให้นักแสดงนำดูหนุ่มขึ้น ซึ่งจะนับเป็นภาพยนตร์สารคดีเรื่องแรกของอินเดียที่ทำแบบนี้ด้วย โดยเชนเนียพพานยอมรับว่า การใช้เทคโนโลยีเอไอช่วยให้การสร้างภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันที่มีคนแสดง ประหยัดค่าใช้จ่ายลง
ในบรรดานักแสดงบอลลีวูดที่มีชื่อเสียง ข่าน ถือเป็นคนแรกที่ได้ทดลองใช้เอไอตั้งแต่ปี 2021 เมื่อเขาอนุญาตให้ใช้ใบหน้าและเสียงของเขานำไปใช้ในการโฆษณาได้ โดยใช้เทคโนโลยีดีพเฟก โดยโฆษณาดังกล่าวเป็นของแบรนด์ แคดบิวรี ซึ่งอนุญาตให้ธุรกิจขนาดเล็กใช้เสียง และภาพของข่าน เพื่อช่วยโปรโมตร้าน เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกฎหมายในอินเดียยังไม่มีการออกกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้เอไอออกมา ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจจะเป็นการเปิดทางให้ใช้งานเอไอแบบผิด ๆ ได้
โดยในปีนี้นักแสดงบอลลีวูดชื่อดังอย่าง อนิล กาปัวร์ พึ่งจะชนะคดีที่เขาฟ้องร้องขออำนาจศาลให้ปกป้อง ความพยายามในการจะลอกเลียนแบบเขา ทั้งหน้าตา รูปภาพ และเสียง โดยการชนะคดีครั้งนี้ของเขานับเป็นความสำเร็จ และเป็นคดีตัวอย่างสำหรับนักแสดงคนอื่น ๆ ในการปกป้องตัวเองจากเทคโนโลยีดีพเฟกนั่นเอง โดยหากใครละเมิด เขาจะสามารถอ้างคำสั่งศาลในการลงโทษผู้กระทำผิดได้ทันที
ด้านผู้เชี่ยวชาญได้เสนอความเห็นอีกมุมหนึ่ง โดยมองว่า การใช้เอไอเข้ามาช่วย จะทำให้กระบวนการผลิตภาพยนตร์ทำได้ง่ายขึ้น และเร็วขึ้น เนื่องจากช่วยตัดลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไป
ระหว่างคนกับเอไอ อะไรทำงานได้ดีกว่า?
กูฮาน เชนเนียพพาน ผู้กำกับภาพยนตร์ที่นำเทคโนโลยีเอไอมาใช้ในภาพยนตร์ของตัวเอง มองว่า เขายังคงชอบการถ่ายคนจริง ๆ มากกว่า ถ้าหากว่าเขามีงบประมาณ และเวลา เพราะแม้ว่าเอไอจะสวยกว่า แต่ก็ไม่มีความเป็นธรรมชาติเหมือนคนจริงๆ หรือการ์ตูนแอนิเมะ เพราะมนุษย์ไม่สามารถจะแสดง หรือวาดภาพด้วยตัวเองได้
ขณะที่ นายกาปุระ ที่หลงใหล และยอมรับในความสามารถของ ChatGPT ก็แสดงความรู้สึกในทิศทางเดียวกัน โดยเขาเคยถามตัวเองว่า ระหว่างเอไอ และตัวเขา ใครฉลาดกว่ากัน และก็ได้คำตอบว่า ตัวเขาฉลาดกว่า นอกจากนี้เอไอยังไม่มีศีลธรรมของตัวเอง โดยยังต้องอาศัยการป้อนข้อมูล มันจึงไม่สามารถจะสร้างความลึกลับ ความรู้สึกกลัว หรือความรักขึ้นได้ แต่สิ่งที่มันทำได้ก็คือการสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตภาพยนตร์ โดยหากใครสามารถเข้ามาใช้เครื่องมือเดียวกันนี้ได้ จะไม่มีการแบ่งชนชั้นขององค์กรใหญ่หรือเล็ก เพราะทุกคนจะมีอำนาจในการเล่าเรื่องราวได้อย่างเสมอภาคกัน
——————————————————————————————————————————————
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 20 ธ.ค.66
Link : https://www.thairath.co.th/news/foreign/2748957