เฉลยแล้ว ! โพสต์สุ่มแทงญี่ปุ่นเป็นเฟกนิวส์ ความจริงแค่ทุบตี

Loading

    ชาวเน็ตหัวไว จับโป๊ะ สาวโพสต์เตือนภัย ‘สุ่มแทงญี่ปุ่น’ สรุปไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงคนสติไม่ดีไล่ทุบนักท่องเที่ยว ทัวร์ลงจนต้องปิดเฟซบุ๊ก   กลายเป็นเรื่องราวชวนตื่นตระหนกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า ที่นี่ เที่ยวญี่ปุ่น ได้โพสต์เตือนภัย หลังเจอเหตุการณ์ ‘สุ่มแทง’ ที่ประเทศญี่ปุ่น   ทำให้กลายเป็นข่าวใหญ่โตและถูกกระจายต่อในโลกออนไลน์ไปอย่างกว้างขวาง ก่อนจะมีคนแย้งว่าเหตุการณ์มันดูแปลก ๆ เพราะมีคนไทยหลายคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น และไม่ได้ทราบข่าวที่เกิดขึ้นเลย จึงมีการสืบประเด็นนี้กันเกิดขึ้น   ก่อนพบว่าสิ่งที่หญิงสาวเจ้าของเฟซบุ๊กโพสต์คือเรื่องโกหก เพราะภาพเหตุการณ์ที่เธอนำมาลงเป็นเพียงการสุ่มทำร้ายร่างกายโดยการทุบตี ไม่ใช่การใช้อาวุธแทงกัน   ทั้งนี้ยังแย้งประเด็นที่บอกว่าตำรวจญี่ปุ่นมาช้า เพราะจากภาพกล้องวงจรปิดตำรวจใช้เวลาเพียง 5 นาที วิ่งจากป้อมมายังที่เกิดเหตุ ก่อนพุ่งไปจับคนร้ายทันที ซึ่งคนร้ายเป็นคนเร่ร่อนสติไม่ดี   ก่อนทัวร์จะลงเจ้าของเฟซบุ๊กจนต้องปิดเฟซหนี ชาวเน็ตหลายคนเข้าใจว่าอาจเห็นเหตุการณ์จริง และตกใจอยากบอกให้คนอื่นระวัง แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ไม่ควรใช้คำว่าสุ่มแทง เพราะมันร้ายแรงและส่งผลเสียกับภาพลักษณ์ของประเทศเขา           —————————————————————————————————————————————— ที่มา :         …

ธนาคารออสเตรเลียเปิดบริการโทรหาคอลเซ็นเตอร์ผ่านแอป รู้ตัวตนลูกค้าทันที

Loading

    NAB หรือ National Australia Bank ประกาศเพิ่มฟีเจอร์โทรหาคอลเซ็นเตอร์ผ่านทางแอปธนาคาร จากเดิมที่สามารถโทรผ่านหมายเลขคอลเซ็นเตอร์เท่านั้น ข้อได้เปรียบสำคัญคือเจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์นั้นจะรู้ตัวตนของลูกค้าทันที ไม่ต้องตรวจสอบจากรหัสผ่าน, SMS OTP, หรือคำถามยืนยันตัวตนแบบเดิม ๆ   ตอนนี้ลูกค้าของ NAB ใช้แอปอยู่ 85-90% แล้วฟีเจอร์นี้จึงเข้าถึงลูกค้าได้เป็นวงกว้างทันที ตัวเจ้าหน้าที่จะเห็นข้อมูลเดิมที่ลูกค้าเคยติดต่อไว้ ไม่ต้องเล่าเรื่องเดิมซ้ำ ขณะที่ธนาคารเองก็ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่เสียเวลามายืนยันตัวตนลูกค้า   กระบวนการติดต่อคอลเซ็นเตอร์ต้องยืนยันตัวตนเหมือนการทำธุรกรรมปกติ โดยอาจจะใช้ Face ID หรือรหัสผ่านตามปกติ ซึ่งปลอดภัยกว่าการยืนยันตัวตนแบบเดิม ๆ         ที่มา  IT News         —————————————————————————————————————————————— ที่มา :                   …

ยอดภัยคุกคามทางเว็บไม่แผ่ว! พบในไทยกว่า 17.5 ล้านรายการ แนะคนไทยระวัง!

Loading

    แคสเปอร์สกี้ (Kaspersky) ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของรัสเซีย เปิดรายงานล่าสุด ความปลอดภัยทางไซเบอร์ประจำปี สำหรับประเทศไทย ตรวจพบและบล็อกภัยคุกคามทางเว็บต่างๆ จำนวนเกือบ 17.3 ล้านรายการที่กำหนดเป้าหมายโจมตีผู้ใช้ในไทย!!!   Key Points :   –  ตรวจพบความพยายามในการคุกคามเว็บจำนวน 17,295,702 รายการในไทย – ผู้ใช้ชาวไทยจำนวน 29.1% ถูกโจมตีจากภัยคุกคามทางออนไลน์ ทำให้ไทยอยู่ในอันดับที่ 109 ของโลก – เปิด 10 เคล็ดลับเลี่ยงถูกหลอกลวงทางออนไลน์   ในปี 2565 ผลิตภัณฑ์ของแคสเปอร์สกี้ตรวจพบความพยายามในการคุกคามเว็บจำนวน 17,295,702 รายการบนคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ที่เข้าร่วม Kaspersky Security Network หรือ KSN ในประเทศไทย ซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่าปีที่แล้ว 0.46% (17,216,656 รายการ) คิดเป็นผู้ใช้ชาวไทยจำนวน 29.1% ที่จะถูกโจมตีจากภัยคุกคามทางออนไลน์ ทำให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 109 ของโลก  …

จากเรื่องเทคโนโลยีใหม่เอื้อให้เข้าสหรัฐสะดวก

Loading

  สหรัฐเข้ายากสำหรับคนไทย เริ่มจากกระบวนการอันยาวนานของการขอวีซ่า จนกระทั่งตอนสุดท้ายเมื่อเดินทางไปถึง ซึ่งมักจะต้องต่อแถวยาวเหยียดเพื่อรอรับการตรวจหนังสือเดินทางและวีซ่า ตามด้วยการตรวจตราของเจ้าหน้าที่ศุลกากร   ผมเดินทางเข้าสหรัฐนับร้อยครั้งหลังไปอาศัยอยู่ที่นั่นกว่า 50 ปี กระบวนการดังกล่าวนี้แทบไม่เปลี่ยน เนื่องจากผมยังถือหนังสือเดินทางไทยแม้หลังเป็นผู้สูงวัยจะได้รับ “ใบเขียว” หรือวีซ่าถาวรแล้วก็ตาม จนกระทั่งเมื่อผมมาเมืองไทยครั้งล่าสุดและเพิ่งเดินทางกลับไปสหรัฐเมื่อวันที่ 4 มี.ค.   การเดินทางเข้าสหรัฐครั้งนี้ผมจำใจต้องไปเข้าที่เมืองแอตแลนตา ทั้งที่พยายามเลี่ยงที่นั่นเนื่องจากท่าอากาศยานมีขนาดใหญ่และสายการบินใช้บริการมากไม่ต่างกับท่าอากาศยานของมหานครนิวยอร์ก ทั้งนี้เพราะสายการบินทำผิดพลาดส่งผลให้ผมหมดโอกาสเลือก   ผมแปลกใจเมื่อไปถึงเนื่องจากแถวที่รอตรวจหนังสือเดินทางไม่ยาวตามคาด ทั้งที่เป็นช่วงก่อนเที่ยงวัน ซึ่งสายการบินเข้ามากและมีเจ้าหน้าที่ตรวจหนังสือเดินทางนั่งทำงานอยู่เพียง 3 คน ยิ่งกว่านั้น ผมนำกระเป๋าสัมภาระเดินผ่านด่านศุลกากรได้โดยไม่มีการตรวจตรา   ในความสะดวกเกินคาดนั้น ผมสังเกตเห็นความแตกต่าง 2 ด้านระหว่างครั้งนี้และครั้งที่แล้วๆ มา ซึ่งล่าสุดผมมาเมืองไทยเมื่อปีที่แล้วและกลับสหรัฐในเดือน มิ.ย. นั่นคือการใช้กล้องมองหน้าผู้เดินทางในระหว่างตรวจหนังสือเดินทาง   เจ้าหน้าที่ให้ผมมองกล้องโดยไม่ต้องเปิดหนังสือเดินทางให้ดูแล้วถามผมความว่า “ไสวใช่ไหม?” หลังผมตอบว่าใช่ เขาถามต่อว่า “เอาใบเขียวมาด้วยใช่ไหม?” ผมตอบว่าใช่ พร้อมกับจะแสดงให้เขาดู   เขาบอกผมว่า “คุณไปได้” ผมสังเกตว่า คนข้างหน้าผม นานๆ จึงจะถูกเขาถามมากกว่านั้น หรือให้แสดงเอกสารเดินทาง แต่ละคนน่าจะใช้เวลาเฉลี่ยราว…

‘จีน’ นำหน้า ‘สหรัฐฯ’ ใน ‘เทคโนโลยีสำคัญ’ ถึง 37 จากทั้งหมด 44 แขนง รายงานวิจัยจากออสเตรเลียระบุ

Loading

    หน่วยงานคลังสมองในเครือของรัฐบาลออสเตรเลียระบุในรายงานการวิจัยว่า จีนเป็นผู้นำหน้าใครๆ ในโลกเทคโนโลยีแขนงปัญญาประดิษฐ์ ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก โดรน และแบตเตอรี่รถไฟฟ้า ขณะที่สหรัฐฯ ยังครองแชมป์ในแขนงการทำชิป และการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง   ประเทศจีนเวลานี้เป็นผู้นำหน้าใครๆ ทั่วโลกในเทคโนโลยีสำคัญๆ ถึง 37 แขนง จากทั้งสิ้น 44 แขนง รวมทั้งทางด้านขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) โดรน และแบตเตอรี่รถไฟฟ้า ทั้งนี้ ตามรายงานวิจัยของออสเตรเลียที่นำออกเผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้   จีนยังเป็นอันดับ 1 ของโลกในพวกเทคโนโลยีกลาโหม และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ เมื่อพิจารณาจากแง่ของการทำวิจัยซึ่งมีผลกระทบอย่างสูง สถาบันนโยบายทางยุทธศาสตร์ของออสเตรเลีย (Australian Strategic Policy Institute หรือ ASPI) ระบุในรายงานฉบับดังกล่าว   ทั้งนี้ ASPI เป็นหน่วยงานคลังสมองด้านกลาโหมและนโยบายทางยุทธศาสตร์ ซึ่งตั้งฐานอยู่ในกรุงแคนเบอร์รา ก่อตั้งขึ้นโดยรัฐบาลออสเตรเลีย และได้รับเงินทุนจากพวกรัฐบาลต่างประเทศ ตลอดจนพวกบริษัทด้านกลาโหมและเทคโนโลยีด้วย   รายงานฉบับนี้ของ ASPI ระบุอีกว่า จีนยังมีความยอดเยี่ยมในแขนงอื่นๆ…

จริงหรือที่ TikTok ส่งข้อมูลผู้ใช้ให้รัฐบาลจีน จนหลายประเทศรุมแบน

Loading

    ในช่วงที่ผ่านมา TikTok แพลตฟอร์มสัญชาติจีน เผชิญการปิดกั้นจากหลายประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ที่ออกมาตรการห้ามใช้งาน TikTok บนอุปกรณ์ของรัฐ รวมถึงการห้ามไม่ให้มีบัญชีทางการของเจ้าหน้าที่รัฐบนแพลตฟอร์ม   การแบน TikTok ลามไปถึงประเทศอื่น ๆ อย่าง แคนาดาและไต้หวัน ที่ออกมาตรการในลักษณะเดียวกัน ขณะที่ เนเธอร์แลนด์ และเดนมาร์ก ที่ก็กำลังหารือแนวทางการแบน TikTok เช่นกัน ซึ่งกระแสต่อต้าน TikTok จากนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐในหลายประเทศมีมากขึ้นทุกวัน     แต่ที่หนักหน่วงที่สุดเห็นทีจะเป็นอินเดียที่แบน TikTok ตั้งแต่ปี 2020 และเป็นการแบนชนิดที่เรียกว่าถอนรากถอนโคน ควบคุมไปยังประชาชนด้วย ไม่เฉพาะแต่ในอุปกรณ์ของรัฐเท่านั้น   เพราะเหตุใดแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมอย่างผู้คนกว่า 1,000 ล้านคนจากทั่วโลกถึงตกเป็นเป้าจากรัฐบาลทั่วโลก   ทำไมถึงแบน TikTok   ประเด็นหลักที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ให้เหตุผลในการแบน TikTok ก็คือข้อห่วงกังวลด้านความปลอดภัย สำคัญที่สุดคือความกลัวว่า TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของจีน…