หลายประเทศทั่วโลกอย่างเช่น ออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ เริ่มเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ 2567 กันแล้ว ท่ามกลางความตึงเครียดจากสถานการณ์โลก ที่ทำให้เมืองต่าง ๆ ต้องยกระดับการรักษาความปลอดภัยมากขึ้น
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นครซิดนีย์ และเมืองโอ๊คแลนด์ เป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ของโลกที่ก้าวเข้าสู่ปี 2567 ก่อนใคร พร้อมด้วยเสียงไชโยโห่ร้องของผู้คนที่มาชมงานแสดงดอกไม้ไฟอันสวยงามตระการตาเหนืออ่าวซิดนีย์ และที่อาคารสูงที่สุดในนิวซีแลนด์อย่างตึก สกายทาวเวอร์
เมื่อเข็มนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนในออสเตรเลีย พลุไฟจำนวนมหาศาลก็ถูกจุดขึ้นเหนือสะพานอ่าวซิดนีย์ (Sydney Harbor Bridge) เป็นเวลานานถึง 12 นาที โดยมีผู้คนมากกว่า 1 ล้าน หรือ 1 ใน 5 ของประชากรเมืองซิดนีย์ มารอรับชมบริเวณชายฝั่ง หรือจากบนเรือที่ล่องอยู่ในอ่าว โดยบางคนมารอตั้งแต่ 19.30 น. เพื่อจองจุดที่วิวดีที่สุด
ส่วนที่โอ๊คแลนด์มีฝนพรำตกลงมาตลอด ฝนทั้งหมดหยุดลงก่อนถึงเวลาเที่ยงคืน ตามคำพยากรณ์ของเจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยา ก่อนที่การนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ 2567 จะเริ่มขึ้น มีการถ่ายทอดผ่านจอดิจิทัลใกล้ยอดตึกสกายทาวเวอร์ ความสูง 328 ม.
อย่างไรก็ตาม สงครามที่ยังคงดำเนินอยู่ในยูเครน และฉนวนกาซา รวมถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในหลายภาคส่วนของโลก ส่งผลกระทบต่อการฉลองวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในครั้งนี้อย่างมาก หลายเมืองต้องเพิ่มการรักษาความปลอดภัย และหลายสถานที่ตัดสินใจยกเลิกจัดงานวันสิ้นปีไปเลย
ที่ซิดนีย์มีตำรวจถูกส่งมาประจำการมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากเคยเกิดการประท้วงใหญ่ของฝ่ายหนุนปาเลสไตน์มาแล้ว เพราะไม่พอใจที่โรงโอเปราซิดนีย์เปิดไฟสีธงชาติอิสราเอล เพื่อแสดงการสนับสนุน หลังถูกกลุ่มฮามาสโจมตีครั้งใหญ่เมื่อ 7 ต.ค. ซึ่งเป็นชนวนเริ่มสงครามกาซารอบใหม่
ส่วนที่ นครรัฐวาติกัน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส มีพระราชดำรัสอำนวยพรวันปีใหม่ตามประเพณี จากที่ประทับ ณ จัตุรัส เซนต์ ปีเตอร์ โดยทรงรำลึกถึงสถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้นในปี 2566 และสวดภาวนาให้แก่ชาวยูเครน, ชาวปาเลสไตน์ และชาวอิสราเอล, ชาวซูดาน ซึ่งเผชิญสงครามกลางเมืองรอบใหม่ และคนอื่น ๆ อีกมากมาย
“ณ วันสิ้นปีนี้ เราต้องกล้าถามตัวเองว่า มีกี่ชีวิตที่ต้องถูกทำลายไปจากการหยิบอาวุธห้ำหั่นกัน เกิดความตาย และการทำลายล้างมากเท่าใด กี่คนที่ต้องเจ็บปวด กี่คนที่ต้องยากจน” โป๊ปฟรานซิสตรัส “ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งเหล่านี้ โปรดฟังเสียงของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีด้วย”
ส่วนที่ญี่ปุ่น เสียงระฆังจากวัดดังระงมไปทั่วประเทศ โดยมีผู้คนจำนวนมากออกเดินทางไปตามศาลเจ้า และวัดต่าง ๆ เพื่อขอพรวันขึ้นปีใหม่
ขณะที่ในนครนิวยอร์ก ซึ่งสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นอย่างมากเพราะสงครามระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาส ทางเจ้าหน้าที่ และผู้จัดงานอีเวนต์กล่าวว่า พวกเขาเตรียมพร้อมเพื่อรับประกันความปลอดภัยของประชาชนนับหมื่น ที่คาดว่าจะหลั่งไหลออกมายังจัตุรัสไทมส์ สแควร์ เพื่อฉลองปีใหม่ในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเอาไว้แล้ว
นายเอริค อดัมส์ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ยืนยันว่า ตอนนี้ยังไม่มีภัยคุกคามเป็นพิเศษต่องานฉลองวันส่งท้ายปีเก่า ซึ่งจะมีการแสดงสดของศิลปินมากมาย โดยผู้จัดงานคาดว่าจำนวนคนที่จะออกมาร่วมงานอาจกลับไปอยู่ในระดับก่อนโควิดระบาดแล้ว แม้ว่าการเดินทางด้วยเท้าในไทมส์ สแควร์ จะยังคงบางตานับตั้งแต่การระบาด
หลายเมืองในยุโรปก็ยกระดับการรักษาความปลอดภัยขึ้นเช่นกัน อาทิ ที่ฝรั่งเศส เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 90,000 นาย ไปประจำการตามจุดสำคัญทั่วประเทศ โดย 6,000 นาย จะถูกส่งไปยังกรุงปารีส ซึ่งคาดกันว่าจะมีประชาชนมากกว่า 1.5 ล้านคน ออกมาร่วมงานฉลองปีใหม่ที่ถนนช็องเซลีเซ
นายเฌราลด์ ดาร์มาแนง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศสกล่าวว่า เนื่องจากภัยคุกคามการก่อการร้ายระดับ “สูงมาก” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสงครามอิสราเอล – ฮามาส ทำให้ปีนี้เป็นปีแรกที่ตำรวจจะใช้โดรนช่วยในการรักษาความปลอดภัยด้วย และจะมีนักดับเพลิงหลายหมื่นนายกับทหารอีก 5,000 นาย ถูกส่งไปสมทบ
ที่กรุงเบอร์ลิน ตำรวจ 4,500 นาย คาดว่าจะถูกส่งมาประจำการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการจลาจลเหมือนเมื่อปีก่อน โดยตำรวจสั่งแบนการจุดดอกไม้ไฟในถนนหลายสายทั่วเมือง และห้ามจัดการประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ในย่านนอยเคิลน์ ซึ่งเกิดการประท้วงมาแล้วหลายครั้งนับตั้งแต่การโจมตีเมื่อ 7 ต.ค.ด้วย
ที่รัสเซีย สถานการณ์สงครามในยูเครนที่ยังคงดำเนินอยู่ กลบบรรยากาศการฉลองวันสิ้นปีไปจนเกือบหมดสิ้น โดยการแสดงคอนเสิร์ต และดอกไม้ไฟ ที่จัตุรัสแดงในกรุงมอสโกจะถูกยกเลิกเหมือนกับเมื่อปีก่อน
ส่วนที่ปากีสถาน รัฐบาลประกาศห้ามจัดงานฉลองวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับชาวปาเลสไตน์ที่กำลังเผชิญความยากลำบากอย่างหนักจากการโจมตีของอิสราเอล
ที่มา : apnews
——————————————————————————————————————————————
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 1 ม.ค.67
Link : https://www.thairath.co.th/news/foreign/2751862