การเผยแพร่ภาพแม่กับลูกเนื่องในโอกาสวันแม่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาของเจ้าหญิงแห่งเวลส์ แทนที่จะสื่อถึงชาวโลกว่าพระองค์ทรงมีสุขภาพดีเป็นปกติแล้วและกำลังมีความสุขอยู่กับพระโอรสและพระธิดา กลับสร้างปัญหาสาหัสแบบคาดไม่ถึง
กล่าวคือ ไม่นานหลังจากภาพนั้นกระจายออกไป สำนักข่าวใหญ่หลายแห่งแถลงว่า ตนได้บอกให้ผู้รับภาพงดเผยแพร่ต่อเพราะสงสัยว่าภาพนั้นได้รับการตกแต่งด้วยเทคโนโลยีร่วมสมัยส่งผลให้ไม่สะท้อนความเป็นจริงเต็มร้อย
ต่อมา เจ้าหญิงทรงรับว่าพระองค์ทรงตกแต่งภาพนั้นจริงและทรงขออภัยในความไม่เดียงสาของความเป็นช่างภาพมือใหม่ซึ่งทดลองใช้เทคโนโลยีที่ไม่ค่อยคุ้นเคย
เหตุการณ์นั้นบานปลายเป็นประเด็นใหญ่ภายในเวลาอันสั้น เนื่องจากมีผู้ชี้ว่าทางในวังของอังกฤษได้ใช้วิธีสร้างภาพให้ดูดีเกินความเป็นจริงมานาน และฝ่ายต่อต้านการมีกษัตริย์ได้พยายามขุดคุ้ยเรื่องในแนวนี้มาเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง
ในบางกรณีถึงกับใช้เทคโนโลยีใหม่แอบถ่ายภาพ หรือดักฟังการสนทนาของราชวงศ์ส่งผลให้เรื่องไปถึงโรงศาล การเผยแพร่ภาพดังกล่าวจึงอาจเป็นน้ำผึ้งอีกหนึ่งหยดที่ส่งผลให้เกิดจุดพลิกผันอันสำคัญยิ่งในราชวงศ์อังกฤษได้
ผู้ดูโดยทั่วไปคงไม่รู้ว่าภาพดังกล่าวนั้นได้รับการตกแต่ง แต่สำนักข่าวใหญ่ ๆ มีทั้งเทคโนโลยีร่วมสมัยและความเชี่ยวชาญในการดูภาพจึงรู้ เมื่อรู้แล้วก็มิได้อำไว้เพราะเกรงใจราชวงศ์ หากแถลงออกมาเนื่องจากยึดจรรยาบรรณในด้านวิชาชีพของตนสูงกว่าความเกรงใจในตัวบุคคล หรือสถานะทางสังคมของเขารวมทั้งราชวงศ์
เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นประเด็นใหญ่เกี่ยวกับเทคโนโลยีอีกครั้ง กล่าวคือ เทคโนโลยีมีประโยชน์มหาศาล แต่มีโทษ หรือคำสาปแฝงมาด้วยเสมอ
โทษอาจเกิดจากความไม่เข้าใจ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือความมักง่าย และความตั้งใจใช้เทคโนโลยีโดยขาดจรรยาบรรณ หรือเจตนาร้าย
ภาพ : เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงขอโทษที่ตกแต่งภาพทางการจากสำนักพระราชวังเคนซิงตัน จนสำนักข่าวดังหลายแห่งลบออกจากระบบ
ด้านประโยชน์นั้นเราคุ้นเคยกับมันในชีวิตประจำวันจนแทบไม่นึกถึง ผู้กำลังอ่านบทความนี้คงมีเครื่องมือทำด้วยเทคโนโลยีร่วมสมัยและอาจใช้มันอ่านอยู่ด้วยรวมทั้งโทรศัพท์อัจฉริยะ คอมพิวเตอร์จำพวกพกพาและคอมพิวเตอร์จำพวกตั้งโต๊ะ
ส่วนผู้อ่านการพิมพ์บนหน้ากระดาษก็อาจมิได้นึกถึงว่ากระดาษและตัวหนังสือที่ปรากฏต่อหน้าจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ใช้เทคโนโลยีหลายอย่างด้วยกัน
ส่วนด้านโทษก็มีมาก จากการสร้างความรำคาญจนกระทั่งถึงการสูญสิ้นสายพันธุ์ของมนุษย์ การสร้างความรำคาญง่าย ๆ ที่อาจเกิดขึ้นรายวันได้แก่โทรศัพท์จากกิจการขายตรง ส่วนความร้ายแรงถึงขั้นการสูญสิ้นสายพันธุ์ของมนุษย์นั้นอาจเกิดได้จากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และความมักง่ายที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน
ซึ่งในขณะนี้มีแนวโน้มว่ายังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ก่อนที่ภาวะโลกร้อนจะทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ มนุษย์อาจฆ่ากันเองโดยเจตนาจนหมดโลกก็ได้ สัปดาห์นี้มีทั้งภาพยนตร์และรายงานซึ่งบ่งชี้ไปที่ประเด็น
ภาพยนตร์เรื่องออปเปนไฮเมอร์ (Oppenheimer) ได้รับตุ๊กตาทองถึง 7 ตัว หนึ่งในประเด็นใหญ่ในภาพยนตร์ได้แก่ผลของเทคโนโลยีร่วมสมัยที่อาจทำลายโลกได้ในเวลาอันสั้นหากมหาอำนาจนำมันออกมาใช้ทำลายกันในสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือสงครามร้อนทั่วโลกอีกครั้ง
แม้ในขณะนี้โลกจะไม่มีสงครามร้อนแบบนั้น แต่มหาอำนาจก็กำลังทำสงครามเย็นกันอย่างเข้มข้นผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ล่าสุดระบบประกันสุขภาพบางส่วนในสหรัฐถูกโจมตีจนมีผลทำให้การรักษาพยาบาลโดยเฉพาะการจ่ายยาขัดข้องอย่างกว้างขวาง ในการทำสงครามเย็นนี้อาจมีเหตุการณ์จำพวกน้ำผึ้งหยดเดียวที่นำไปสู่สงครามร้อนล้างโลกได้
นอกจากการสูญพันธุ์จากการทำสงครามร้อนกันโดยเจตนาแล้ว มนุษย์อาจสูญพันธุ์จากเทคโนโลยีใหม่โดยไม่เจตนาอีกด้วย
เมื่อวันจันทร์ รัฐบาลอเมริกันได้รับรายงานจากผู้เชี่ยวชาญที่รับมอบงานไปศึกษาเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ ข้อสรุปอันสำคัญยิ่งได้แก่ รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินมาตรการที่สามารถป้องกันมิให้เทคโนโลยีใหม่นี้พัฒนาไปถึงขั้นสามารถทำลายมนุษยชาติได้โดยบังเอิญ หรือโดยพลการดัวยตัวของมันเอง
เรื่องที่เล่ามานี้ชี้ชัดว่า แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าต่อไปแบบไม่หยุดยั้ง แต่ประเด็นพื้นฐานของการใช้มันยังคงเดิม นั่นคือ ต้องมีทั้งปัญญาและจรรยาบรรณ มิฉะนั้นมันอาจฆ่ามนุษย์ทั้งหมด.
บทความโดย ดร.ไสว บุญมา | บ้านเขาเมืองเรา
———————————————————————————————————————————————————————————
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 15 มี.ค. 2567
Link : https://www.bangkokbiznews.com/world/1117916