เหตุจลาจลในประเทศเฮติในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์แล้ว โดยกลุ่มแก๊งอาชญากรต่าง ๆ ร่วมกันทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐและจุดไฟเผาหน่วยงานของรัฐ เพื่อสร้างความความวุ่นวาย หวังโค่นล้มรัฐบาลนายกรัฐมนตรีอาเรียล อองรีของเฮติ ทางการเฮติ สั่งปิดสนามบินนานาชาติในกรุงปอร์โตแปรงซ์และปิดท่าเรือหลักของบริษัทแคริบเบียน พอร์ท เซอร์วิส หลังถูกแก๊งอาชญากรบุกเผาและปล้นสินค้าในโกดังสินค้าของท่าเรือตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.67
ซีเอ็นเอ็น รายงานอ้างหน่วยบัญชาการภาคใต้ (US Southern Command) ของกองทัพสหรัฐฯ สถานทูตเยอรมนีและสถานทูตกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ประจำเฮติว่า สหรัฐฯ เยอรมนีและกลุ่มอียู ส่งเฮลิคอปเตอร์ไปอพยพเจ้าหน้าที่สถานทูตออกจากกรุงปอร์โตแปรงซ์ของเฮติเมื่อคืนนี้ (10 มี.ค.67) เพื่อไปที่สาธารณรัฐโดมินิกัน ซึ่งอยู่ใกล้กัน หลังสถานการณ์ความไม่สงบในเมืองหลวงของเฮติ มีแนวโน้มบานปลาย รวมถึงเหตุรุนแรงในย่านชุมชนต่างๆไม่ห่างจากสถานทูตสหรัฐฯ และไม่ห่างจากสนามบินในกรุงปอร์โตแปรงซ์ อีกทั้งมีข่าวกรองที่เชื่อว่าเหตุรุนแรงอาจจะขยายไปถึงเมืองเพชันวิลล์ ที่ตั้งโรงแรมหรูและสถานทูตต่างชาติหลายแห่ง
กองทัพสหรัฐฯ ระบุว่า การปฏิบัติการเพื่ออพยพเจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐฯ ในเฮติ สอดคล้องกับหลักปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยสถานทูตสหรัฐฯ ทั่วโลก ขณะที่ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ โพสต์ข้อความทาง X เมื่อเช้ามืดของวันอาทิตย์ว่า กองทัพสหรัฐฯ เริ่มอพยพบุคลากรที่ปฏิบัติภารกิจที่ไม่สำคัญเร่งด่วนออกจากสถานทูตสหรัฐฯในเฮติ พร้อมเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยสำหรับสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงปอร์โตแปรงซ์
ขณะเดียวกัน สถานทูตเยอรมนีและคณะทูตของกลุ่มอียู เปิดเผยว่า พวกเขาได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ไปอพยพเจ้าหน้าที่ประจำสถานทูต รวมถึง นายปีเตอร์ เซาเออร์ เอกอัครราชทูตเยอรมนี และนายสเตฟาโน กัตโต เอกอัครราชทูตกลุ่มอียูประจำเฮติ หลังวางแผนและประสานงานมาหลายวันกับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนเฮติ-สาธารณรัฐโดมินิกัน
ก่อนหน้านี้ เกิดเหตุแหกคุก นักโทษหลายพันคนหลบหนีออกจากเรือนจำแห่งชาติของเฮติในกรุงปอร์โตแปรงซ์ ทำให้รัฐบาลเฮติประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มี.ค.67 เป็นอีกสาเหตุหนึ่งทำให้สหรัฐฯ เยอรมนีและกลุ่มอียู อพยพเจ้าหน้าที่ทูตออกจากเฮติ
————————————————————————————————————————————-
ที่มา : จ.ส.100 / วันที่เผยแพร่ 11 มี.ค.67
Link : https://www.js100.com/en/site/news/view/138217