สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ 13-14 เมษายน ปรากฏว่า นอกจากการเฉลิมฉลองด้วยการสาดน้ำดับร้อนกันแล้ว ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น และน่าจะเป็นเหตุรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ด้วย
โดยวันหยุดสงกรานต์ 2 วัน มีเหตุยิงทหารเสียชีวิต 2 นาย ยศ “จ่าสิบเอก” ทั้งคู่ และเป็นทหารจากหน่วยนอกพื้นที่เหมือนกัน โดยคนหนึ่งกลับบ้านช่วงเทศกาลฮารีรายอ ส่วนอีกคนหนึ่งมาช่วยราชการที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. จังหวัดยะลา
รายแรก เกิดเหตุวันเสาร์ที่ 13 เมษายน คนร้ายใช้อาวุธปืนยิง จ่าสิบเอกรุสลัน ดอเลาะ เสียชีวิตที่หน้าบ้านของมารดา ในพื้นที่หมู่ 5 ตำบลปะนาเระ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี โดยคนร้ายมากัน 3 คน ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 อาก้า และอาวุธปืนพกขนาด 9 มม.ระดมยิงกว่าสิบนัด
โดย จ่าสิบเอกรุสลัน เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าว สังกัดกรมรบพิเศษที่ 4 ค่ายสฤษดิ์เสนา ตำบลวังนกแอ่น อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก / อยู่ระหว่างลาพัก กลับมาเยี่ยมบ้านช่วงฮารีรายอ และก่อนเกิดเหตุไปเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันฟุตซอลในหมู่บ้าน แข่งเสร็จก็ดินทางเข้าบ้าน และถูกดักยิงหน้าบ้านจนเสียชีวิต
รายที่ 2 เกิดเหตุเมื่อวาน วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน คนร้ายดักยิง จ่าสิบเอก สมฤทธิ์ เที่ยงพร้อม อายุ 50 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เป็นเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดแผนก 3 กองคลังแสง กรมสรรพาวุธทหารบก ช่วยราชการ กอ.รมน.จังหวัดยะลา
โดยคนร้ายรัวยิง จ่าสิบเอก สมฤทธิ์ จนเสียชีวิตคาที่ ขณะขี่รถจักรยานยนต์อยู่ในพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี โดยมีสุภาพสตรีนั่งซ้อนท้ายมาด้วย 1 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส
สงสัยล็อกเป้าก่อเหตุ “จ่าทหารนอกพื้นที่”
เหตุรุนแรงทั้ง 2 เหตุการณ์ จากการรวบรวมหลักฐานจนถึงขณะนี้ น่าเชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบค่อนข้างชัดเจน และน่าจะเป็น “เหตุความมั่นคง” ทั้งยังน่าสงสัยว่าเป็นการ “ล็อกเป้าก่อเหตุ” เพราะ
-ผู้ตายเป็นทหารเหมือนกัน
-ยศเท่ากัน
-เป็นทหารสังกัดหน่วยนอกพื้นที่เช่นเดียวกัน
-ก่อเหตุในจังหวัดเดียวกัน แค่ต่างอำเภอ
โดยเป้าหมายของคนร้ายน่าจะเป็นการเร่งความรุนแรงของสถานการณ์ให้เป็นข่าวในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ และเร่งก่อเหตุก่อนการนัดพูดคุยของ “คณะทำงานด้านเทคนิค” หรือ “คณะพูดคุยสันติสุขฯ ชุดเล็ก” ระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น ซึ่งนัดหมายกันช่วงปลายเดือนนี้
ศปป.5 แฉมีบัญชี “ล็อกเป้าทหาร”
แหล่งข่าวระดับสูงจาก ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 หรือ ศปป.5 กอ.รมน. กล่าวกับ “ทีมข่าวอิศรา” ว่า คนร้ายที่ก่อเหตุ เป็น “สมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง” อย่างแน่นอน และเป็นการ “จงใจล็อกเป้าก่อเหตุ” โดยเลือกเหยื่อที่เป็น “เจ้าหน้าที่ทหาร” มีครอบครัวอยู่ในพื้นที่ ทั้งครอบครัวดั้งเดิม คือเป็นคนพื้นที่อยู่ก่อนแล้ว และเจ้าหน้าที่ที่มาสร้างครอบครัวใหม่
โดยกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีรายชื่อของเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ และเกาะติดสังเกตการณ์อยู่ตลอด ถ้ามีพฤติการณ์ใช้ชีวิตประจำวันอย่างประมาท ก็จะตกเป็นเป้าสังหารทันที ซึ่งที่ผ่านมา กอ.รมน.ก็ได้แจ้งเตือนกำลังพลกลุ่มนี้ตลอด แต่ก็มีบางส่วนที่พลาดพลั้ง หรือมีความจำเป็นต้องเดินทาง ทำให้ตกเป็นเป้าถูกโจมตี
ด้าน พันเอก เอกวริทธิ์ ชอบชูผล โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวกับ “ทีมข่าวอิศรา” ว่า ลักษณะของเหตุการณ์ คนร้ายฉวยโอกาสเลือกเหยื่อที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ หรือหละหลวมระหว่างการใช้ชีวิตในกิจวัตรประจำวัน ในชุมชนของตนเอง แล้วลงมือก่อเหตุ
โดย 2 กรณีที่เกิดขึ้นเป็น “จ่าทหาร” ถือว่าคนร้ายมีโอกาสและจังหวะ จึงตัดสินใจลงมือ และก่อความสูญเสียขึ้นมา
“คนร้ายคือคนในพื้นที่ อยู่ในชุมชน ก่อเหตุเสร็จก็มีจุดหลบซ่อน ซึ่งตระเตรียมเอาไว้แล้ว จึงไม่ผ่านด่านตรวจ เมื่อก่อเหตุเสร็จก็ใช้ชีวิตปะปนกับชาวบ้าน มีแนวร่วมในหมู่บ้านให้ที่พักพิง และสุดท้ายก็ปล่อยข่าวโยนบาปให้เจ้าหน้าที่ว่าสร้างสถานการณ์เอง เพราะไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ทั้ง ๆ ที่มีด่านตรวจเต็มหมด จากนั้นก็เรียกร้องให้ยกเลิกด่านตรวจ นี่คือ วิธีการของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง และแนวร่วมทุกฝ่ายที่ดำเนินการตลอดมา” โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุ
———————————————————————————————————————————————————————————
ที่มา : สำนักข่าวอิศรา / วันที่เผยแพร่ 15 เม.ย. 67
Link : https://www.isranews.org/article/south-news/south-slide/127858-targetlock.html