รัสเซียออกมาปฏิเสธรายงานว่าอยู่เบื้องหลัง “ฮาวานาซินโดรม” อาการป่วยปริศนาที่เกิดขึ้นกับนักการทูต-สายลับสหรัฐฯ ทั่วโลก
เมื่อวันที่ 1 เม.ย. ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซียได้ออกมาปฏิเสธรายงานฉบับหนึ่งที่ชี้ว่า หน่วยข่าวกรองทางทหารของรัสเซียอาจอยู่เบื้องหลังอาการป่วยลึกลับที่เรียกว่า “ฮาวานาซินโดรม” (Havana Syndrome) ซึ่งเกิดกับนักการทูตและสายลับของสหรัฐฯ หลายคนทั่วโลก
โฆษกรัฐบาลรัสเซียชี้ว่า รายงานเกี่ยวกับอาการดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด และนี่เป็นเพียงข้อกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐานน่าเชื่อถือ
“นี่ไม่ใช่ประเด็นใหม่เลย เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ประเด็นที่เรียกว่า ฮาวานาซินโดรม ได้รับการเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน บ่อยครั้งที่มีความเชื่อมโยงกับข้อกล่าวหาต่อต้านฝ่ายรัสเซียตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ไม่มีใครเคยเผยแพร่ หรือแสดงหลักฐานที่น่าเชื่อถือของข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลเหล่านี้สักที่ ทั้งหมดนี้จึงไม่มีอะไรมากไปกว่าข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล” เปสคอฟกล่าว
ทั้งนี้ การแสดงความเห็นของโฆษกรัฐบาลรัสเซียต่อประเด็นดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ Insider ซึ่งเป็นกลุ่มสื่อที่มุ่งเน้นสืบสวนรัสเซีย ที่ตั้งอยู่กรุงริกา เมืองหลวงของประเทศลัตเวียรายงานว่า สมาชิกของหน่วยข่าวกรองทหารรัสเซีย ที่รู้จักกันในชื่อว่า 29155 ปรากฎตัวในที่เกิดเหตุที่มีรายงานการเกิดอาการป่วยลึกลับดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ
จากการสืบสวน Insider ที่ดำเนินมาตลอดทั้งปี โดยได้รับความร่วมมือจากรายการ 60 Minutes และ เดอ สปีเกล (Der Spiegel) ของเยอรมนี ยังรายงานด้วยว่า สมาชิกอาวุโสหลายคนของ 29155 ได้รับรางวัล และได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากผลงานด้านการพัฒนาอาวุธคลื่นเสียงแบบไม่ถึงแก่ชีวิตด้วย
สำหรับจุดเริ่มต้นของคำจัดกัดความของคำว่า ฮาวานา ซินโดรม เกิดขึ้นในปี 2016 โดยผู้ป่วยรายแรกพบอยู่ในสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงฮาวานา เมืองหลวงของคิวบา
จากนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ของสำนักสอบสวนกลาง หรือ CIA รวมถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อย่างน้อย 26 คน ป่วยด้วยอาการแบบเดียวกัน โดยเริ่มด้วยอาการปวดศีรษะแบบไม่ทราบสาเหตุ
ทั้งนี้ อาการป่วยดังกล่าวได้บัญญัติชื่อตามเมืองหลวงของคิวบา และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอาการเจ็บป่วยทางร่างกายที่ส่งผลต่อประสาทสัมผัส ซึ่งคาดว่าอาจเกิดจากการได้ยินเสียงที่มีคลื่นความถี่สูง แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด
อย่างไรก็ตาม หลังจากพบผู้ป่วยด้วยอาการดังกล่าวในคิวบา ต่อมาพบว่าเกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯ ที่จีน รัสเซีย เยอรมนี ออสเตรีย คีร์กีซสถาน โปแลนด์ โคลอมเบีย อุซเบกิสถาน รวมถึงที่เวียดนามด้วย
——————————————————————————————————————————————————————————–
ที่มา : PPTV Online / วันที่เผยแพร่ 2 เม.ย.67
Link : https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/220774